Wednesday, July 27, 2011

หมอบุณย์ - บุณยพร ยี่มี (Boonyaporn Yeemee @TonightShow)

ทูไนท์โชว์ : ทอล์คโชว์ : หมอบุณย์ - บุณยพร ยี่มี : 25 กรกฎาคม 2554
TonightShow : talkshow - Boonyaporn Yeemee : 25 Jul 2011

หมอบุณย์ - บุณยพร ยี่มี (Boonyaporn Yeemee @TonightShow)

คุณบุณยพร ยี่มี หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "หมอบุณย์" ผลงานหนังสือ หมอบุณย์ปากหมา ท่านได้รับรางวัลจากนานาชาติอย่างมากมาย ซึ่งรางวัลที่ได้รับมาแต่ละรางวัล มาจาก4รางวัลนานาชาติ และจาก 3 สถาบัน ล่าสุดเป็นคนไทยที่ได้รับรางวัล "นักประดิษฐ์ไทย" ในรอบเกือบ 40 ปี โดยได้รับรางวัลมาจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพราะยาไทย และใช้ความรู้ของแพทย์แผนไทยเพื่อประโยชน์ต่อผู้คน และสาธารณชนโดยทั่วไป


ประวัติโดยย่อ หมอบุณย์
เดิมท่านไม่ได้เรียนวิชามาทางแพทย์ และไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะเป็นหมอ ท่านเรียนและทำงานด้านอื่นมาโดยตลอด แต่ท่านมีความรู้ทางด้านยาและสมุนไพรมาจากบรรพบุรุษมาแต่เก่าก่อน ซึ่งอยู่มาวันหนึ่ง มีความจำเป็นต้องใช้ความรู้นั้น ก็เลยนำความรู้ด้านยาแผนโบราณมาใช้และมีประโยชน์เป็นอย่างมาก จึงเห็นความสำคัญและค่อยๆเอาหนังสือและตำราเก่าๆมาไล่ศึกษา

พอศึกษาไปเรื่อยๆก็เห็นผล เห็นประโยชน์จริงๆ และยังเห็นว่าในปัจจุบัน แพทย์แผนไทยหลายๆคน หรือหลายๆแขนง หลายๆสาขา ที่รักษากันอยู่ในปัจจุบัน ทำผิดไปจากตำรับตำราโบราณเป็นอย่างมาก จึงเกรงว่า ถ้าเรามีความรู้ที่ถูกต้องทางด้านนี้แล้วไม่พูดไม่บอกออกไป จะทำให้แพทย์แผนไทย หรือแพทย์แผนโบราณนั้นทำกันผิดๆต่อไป ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหาย เสียชื่อเสียง แล้วทำให้คนไม่เข้าใจถึงประโยชน์อย่างแท้จริงในแพทย์แผนไทย

หลังจากนั้น ท่านจึงเริ่มนำเสนอสิ่งที่ถูกต้อง เกี่ยวกับตำรับตำราของแพทย์แผนไทยออกสู่สาธารณชน และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสิ่งที่ท่านรู้ ท่านจึงนำเสนอสิ่งดีๆนี้แก่ชาวโลก จนท่านได้รับรางวัลอย่างมากมายดังที่กล่าวมาในเบื้องต้น

คลีนิกแพทย์แผนไทย หมอบุณย์
www.forlifeline.com/คลินิคแพทย์แผนไทยหมอบุณย์


ติดตามการสัมภาษณ์ หมอบุณย์ ในรายการ ทูไนท์โชว์








ขอขอบคุณ ไทยทีวีสี ช่อง 3
รายการ Tonight Show โดย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ และทีมงาน
ยูทูป คลิปวีดีโอ Youtube clip VDO video

Sunday, July 24, 2011

การดื่มน้ำมากเกินไป ก็เป็นภัยต่อสุขภาพ (Dangers Of Drinking Too Much Water)

การดื่มน้ำมากเกินไป ก็เป็นภัยต่อสุขภาพ (Dangers Of Drinking Too Much Water)

มนุษย์เราควรดื่มน้ำให้มากพอเพื่อสุขภาพดี แต่การดื่มน้ำที่มากเกินไปก็ทำให้เกิดโทษเช่นกัน

โทษของการดื่มน้ำมากเกินไป

เราหลายๆ คนคงจะรู้ถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำกันมากอยู่แล้วใช่ไหมล่ะค่ะ แต่คุณจะรู้เรื่องโทษของการดื่มน้ำมากเกินไปบ้างรึเปล่าเอ่ย เพราะใครก็รู้ดีว่าคนเรานั้นควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ผิวพรรณของเรานั้นดี และสุขภาพร่างกายก็จะได้เกิดสมดุลที่ดีอีกด้วย แต่โทษของการดื่มน้ำมากเกินไป คุณรู้บ้างรึเปล่าว่าจะส่งผลเสียอย่างไรต่อร่างกายของคุณบ้าง สำหรับเรื่องโทษของการดื่มน้ำมากเกินไปนั้น วันนี้เราจะมาบอกเล่าให้คุณผู้รักสุขภาพได้รู้กันค่ะ งั้นเรามาดูเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ โทษของการดื่มน้ำมากเกินไป "เพื่อสุขภาพดี" กันเลยดีกว่าค่ะ

เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงสาธารณะสุขออกมาเตือนว่า การดื่มน้ำที่ดีควรดื่มแบบจิบเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าดื่มรวดเดียวหลายๆแก้ว เพราะนั่นจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% อยู่แล้ว และเมื่อไหร่ที่ร่างกายได้รับน้ำเพิ่มเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "น้ำเป็นพิษ"

ภาวะนี้เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับน้ำมากเกินไป จนน้ำในเซลล์ และนอกเซลล์ เกิดการขาดความสมดุลกัน ส่งผลให้น้ำในเลือดสูง ทำให้ความเข้มข้นของเลือดลดลง ส่งผลทำให้ร่างกายต้องปรับสมดุล ด้วยการขับแร่ธาตุอย่างโปสแตสเซียมออกไป ซึ่งพอขาดแร่ธาตุตัวนี้จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรงเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง บางคนเป็นมากถึงทำให้เกิดอาการเกร็งในสมองจนทำให้ ปอด หัวใจ และระบบทางเดินหายใจ ล้มเหลว ซึ่งถ้าถึงจุดนี้คุณอาจเสียชีวิตได้เลยนะคะ

เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรดื่มน้ำแต่พอดีจะดีกว่า เพื่อให้สิ่งที่ดื่มเข้าไปเกิดประโยชน์ไม่ใช่เกิดผลร้ายแก่ร่างกาย ดื่มน้ำอย่างถูกวิธีจะช่วยให้สุขภาพดีตามไปด้วยค่ะ


credit: http://www.n3k.in.th/สุขภาพ/โทษของการดื่มน้ำมากเกินไป

Wednesday, July 20, 2011

น้ำ ดื่มให้พอดีเพื่อร่างกายที่สมดุล (Water for Health Balance)

สมดุลของน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่างที่พอรู้กันมาบ้างแล้ว ว่าร่างกายของเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่รู้หรือเปล่าคะว่าน้ำเหล่านี้ นั้นแทรกซึมอยู่ทุกส่วนของร่างกายทั้งภายในและภายนอกเซลล์ ทั้ง เลือด น้ำเหลือง น้ำย่อย ฯลฯ โดยมี “อิเล็กโทรไลต์” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เกลือแร่” เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม คลอไรด์ ฟอสเฟต และไบคาร์บอเนต ละลายปนอยู่ ทำให้น้ำมีความเข้มข้นและนำพาอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

และแม้อิเล็กโทรไลต์ทุกตัวจะมีความสำคัญ แต่ปริมาณความเข้มข้นของโซเดียม และโพแทสเซียมจะมีอิทธิพลต่อการรักษาสมดุล และถ่ายเทของน้ำในเซลล์และภายนอกเซลล์มากสุด โดยกลไกการเคลื่อนที่ของน้ำในร่างกาย จะไหลจากด้านที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ผ่านเยื่อกั้นผนังเซลล์ไปยังด้านที่มีความเข้มข้นสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น เวลาทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง หรือออกกำลังกาย น้ำภายนอกเซลล์จะกลายเป็นเหงื่อไหลออกนอกผิวหนัง ทำให้ของเหลวนอกเซลล์เข้มข้นขึ้นเพราะน้ำหายไป (แต่ปริมาณโซเดียมยังตกค้างอยู่มาก) สมองส่วนไฮโปทาลามัส จะสั่งให้น้ำในเซลล์ถ่ายเทอออกมาเพื่อปรับสมดุลไม่ให้ น้ำนอกเซลล์เข้มข้นมากเกินไป ในทางตรงกันข้าม หากเราดื่มน้ำมากเกินไป ความเข้มข้นของเหลวภายนอกเซลล์ก็จะลดลง ดังนั้นน้ำจึงไหลกลับเข้าไปในเซลล์ซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่า เป็นต้น

ซึ่งระหว่างที่น้ำทั้งสองส่วนถ่ายเทกันอยู่นี้ สมองจะส่งสัญญาณไปบอกไตให้เลือกเก็บกักน้ำหรือกำจัดออกไป เช่น เมื่อร่างกายขาดน้ำ เลือดจะเข้มข้มขึ้น สมองจะเตือนไตให้รีบดึงน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อไหลเวียนไปเลี้ยง อวัยวะทุกส่วนตามปกติ เราจึงไม่ค่อยปวดปัสสาวะ หรือปัสสาวะน้อยลงและมีสีเหลืองเข้ม แต่ถ้าหากเราได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป สมองจะสั่งให้ไตรีบกำจัดน้ำส่วนเกินทิ้งไป ปริมาณปัสสาวะจึงมากขึ้นและมีสีจางลง

รู้ได้อย่างไรเมื่อน้ำในร่างกายไม่สมดุล

ร่างกายจะแสดงอาการว่าน้ำไม่สมดุลจาก ภาวะขาดน้ำ เกิดจากการที่เราดื่มน้ำน้อยเกินไป แม้ไตจะพยายามเก็บรักษาน้ำในร่างกายให้นานที่สุด เพื่อช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างปกติแล้วก็ตาม แต่เมื่อไตเริ่มรับมือไม่ไหวก็จะส่งสัญญาณแสดงอาการไม่สบายต่างๆ เช่น

  • ปากแห้ง เพราะร่างกายหยุดผลิตน้ำลาย ส่งผลให้กลืนอาหารลำบาก และกระเพาะต้องรับภาระหนักขึ้น เนื่องจากขาดเอนไซม์ในการช่วยย่อยอาหารจำพวกไขมัน แป้งและน้ำตาลจากน้ำลาย
  • ผิวหนังแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย เพราะน้ำถูกดึงไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนอื่นๆ
  • ปวดศรีษะ เมื่อขาดน้ำ เลือดจะหนืดข้นขึ้นปริมาตรเลือดทั้งหมดในร่างกายจึงลดลง หัวใจเลยต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ โดยเพิ่มอัตราการบีบตัวและกระตุ้นเส้นเลือดให้หดตัว เส้นประสาทที่พันรอบเส้นเลือดจึงถูกบีบไปด้วย ส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ และที่ไม่ปวดบริเวณอื่น เพราะศีรษะมีเส้นประสาทจำนวนมาก จึงไวต่อความรู้สึกมากกว่า
  • หงุดหงิด ง่วงซึม ไม่มีแรง เบลอ เป็นอาการสืบเนื่องมาจากการที่เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมอง และกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ เพราะปริมาตรของเลือดลดลงเมื่อขาดน้ำ
  • แผลร้อนใน เมื่อร่างกายขาดน้ำ อุณหภูมิภายในจะเพิ่มสูงขึ้น เนื้อเยื่อภายในช่องปากจึงได้รับผลกระทบ คล้ายกับผิวหนังโดนน้ำร้อนลวกจนเกิดอาการบวมแดง พองเป็นถุงน้ำใสและแตกเป็นแผลในที่สุด
  • ท้องผูก เพราะร่างกายจะดึงน้ำจากทุกระบบ รวมทั้งบริเวณปลายลำไส้ใหญ่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนอื่นที่สำคัญก่อน
  • ความดันเลือดต่ำ เมื่อขาดน้ำแรงดันระบบไหลเวียนโลหิตจะลดลง จึงทำให้รู้สึกหน้ามืด อ่อนเพลีย วิงเวียน
  • ตากลวงลึกและดำคล้ำ เพราะรอบดวงตา โดยเฉพาะใต้ตาของเรามีของเหลวบรรจุอยู่ เมื่อร่างกายเสียน้ำไปมาก บริเวณดังกล่าวก็ได้รับผลกระทบจากการที่ร่างกายดึงน้ำไปใช้เช่นกัน ตาจึงโหลและมีรอยคล้ำ
อย่างไรก็ตามภาวะขาดน้ำ อย่างเดียวนั้นไม่อันตรายถึงชีวิต เพราะร่างกายจะเตือนให้เรากระหายน้ำ หรือเริ่มกระบวนการกักเก็บน้ำโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว


credit: http://www.oknation.net/blog/diamond/2011/04/23/entry-1

Friday, July 15, 2011

โรคฉี่หนู... เชื้อร้ายที่มาพร้อมหน้าฝน (Leptospirosis during Rainy season)

โรคฉี่หนู... เชื้อร้ายที่มาพร้อมหน้าฝน

โรคฉี่หนู เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีรูปร่างคล้ายเกลียวสว่าน เชื้อเหล่านี้สามารถอาศัยอยู่กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด โดยเฉพาะพวกสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู


ไม่เพียงแต่สัตว์ฟันแทะ สัตว์อื่น เช่น วัว ควาย และหมู ก็เป็นแหล่งเก็บเชื้อได้เช่นกัน นอกจากนี้ เชื้อสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อม ดิน โคลน แอ่งน้ำ ร่องน้ำ น้ำตก แม่น้ำลำคลอง เป็นต้น และอยู่ได้นานเป็นเดือน ถ้าปัจจัยแวดล้อมเหมาะสม ในธรรมชาติจะพบเชื้อในน้ำ ดินหรือทรายที่เปียกชื้น หรืออาหารที่ปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ที่มีเชื้อ ผู้ป่วยมักจะมีประวัติการย่ำน้ำแฉะๆ ในบริเวณที่มีสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคอยู่ก่อน เช่นในไร่นา ในตลาดสดที่มีหนู เป็นต้น


โรคฉี่หนู... เชื้อร้ายที่มาพร้อมหน้าฝน (Leptospirosis during Rainy season)โรคนี้พบมากในฤดูฝน เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยโดยเข้าไปทางรอยแตกหรือแผลเล็กๆ บนผิวหนัง ผิวหนังที่เปื่อยเนื่องจากแช่อยู่ในน้ำนานๆ และเยื่อบุที่อ่อนนุ่ม เช่น ตา จมูก ปาก เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 5 - 14 วัน แต่โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 38 °C-40 °C หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดน่อง ตาแดง ปวดท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยอาจจะมีอาการดีขึ้นได้เอง

เนื่องจากเชื้อสามารถกระจายไปทั่วร่างกาย จึงมีภาวะแทรกซ้อนได้หลากหลายมาก ที่พบบ่อยและสำคัญคือภาวะไตวาย การทำงานของตับล้มเหลว ปอดอักเสบ และมีเลือดออกในปอด ผู้ป่วยที่มีภาวะไตวาย จะไม่สามารถขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ เป็นผลให้ระบบการทำงานของอวัยวะอื่นล้มเหลวตามมา ความผิดปกติของการทำงานของตับ แสดงให้เห็นได้โดยการที่ผู้ป่วยมีอาการตาเหลือง การอักเสบที่ปอด ทำให้ระบบการหายใจล้มเหลว และอาจมีอาการไอเป็นเลือด

ถ้าเป็นรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าผู้ป่วยมาพบแพทย์เร็ว การให้ยาเพนิซิลลินหรือด๊อกซี่ซัยคลิน จะช่วยให้ผู้ป่วยหายได้เร็วขึ้น แต่ถ้ามาช้าการให้ยาปฏิชีวนะอาจมีประโยชน์ไม่มากนัก นอกจากการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแล้ว ยังจะต้องให้การรักษาประคับประคองระบบการทำงานของอวัยวะที่ล้มเหลว จนกว่าระบบต่าง ๆ เหล่านั้น จะฟื้นตัวเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งจะใช้เวลามากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

(บทความโดย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล)

ฉะนั้นก่อนที่จะใช้มือหยิบอาหารเข้าปากในหน้าฝนนี้ ควรจะล้างมือหรือชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน และอาหารที่รับประทานก็ควรปรุงสุกใหม่ และใส่ภาชนะที่สะอาดปราศจากเชื้อโรค เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองนะค่ะ

credit: http://foodietaste.com/mustknow_detail.asp?id=310

Wednesday, July 13, 2011

น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)

"น้ำตาล" สารให้ความหวานตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง เรียกกันได้หลายแบบโดนขึ้นอยู่กับรูปร่างลักษณะของน้ำตาล เช่นน้ำตาทราย น้ำตาลกรวด น้ำตาลก้อน น้ำตาลปีบ เป็นต้น แต่ถ้าในทางเคมี หมายถึง"ซูโครส" น้ำตาล เป็นสารประกอบ คารฮโบไฮเดรต มีรสหวาน โดยมากน้ำตาลจะได้จากมะพร้าว อ้อย ต้นบีท อินทผลัม ข้าวฟ่าง สมัยโบราณเราทำ"น้ำตาล" จากน้ำต้นตาลจึงเรียกสารให้ความหวานนั้นว่า"น้ำตาล" แม้ว่ารูปแบบของสารให้ความหวานจะเปลี่ยนไป ทั้งรูปลักษณ์และวัตถุดิบโดยทำมาจากน้ำอ้อย แต่ชื่อ"น้ำตาล" ก็ยังคงถูกใช้อยู่จวบจนปัจจุบัน

น้ำตาล ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องปรุงรส ที่ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้น่ารับประทาน แต่น้ำตาลก็จัดเป็นอาหารที่ให้พลังงาน แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป ทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ ซึ่งอาจร้ายแรงจนคุณคาดไม่ถึง

• ปกติใน 1 วัน เรารับประทานอาหารเข้าไปหลากหลายประเภท ทังแป้ง โปรตีน ไขมัน ซึ่งแล้วแต่เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงทั้งสิ้น เมื่อเราเพิ่มการบริโภค"น้ำตาล"เข้าไปอีกถือว่าเกินพอดี อาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เพราะระดับวิตามินบี1 ลดน้อยลง เช่นเหน็บชา ภูมิแพ้ อารมณ์แปรปรวน กระสับกระส่าย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ และโรคอ้วน
น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)
"น้ำตาล"อยู่ในเลือดจะมีผลให้เลือดเหนียวข้นขึ้น เลือกจะไหลช้าลง และนำสารต่างๆไปเลี้ยงร่างกายได้ช้า ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมร่างกายลดลงทำให้เส้นเลือกฝอยตีบตันได้ง่าย และเกิดความเสื่อมกับอวัยวะต่างๆได้เร็วขึ้น เป็นต้นเหตุเสี่ยงสารพัดโรค การทานน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้มีอาการเป็นตะคริว เวลามีรอบเดือนเป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับ

ในเด็กที่กินน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ รวมถึงอาจกลายเป็นเด็กที่ไม่มีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ และทำให้มีอารมณ์โกรธได้ง่าย

• สัญญาณเตือนภัยว่า ร่างกายได้รับอันตรายจากความหวานก็คือ น้ำหนักลดยาก อยากกินหวาน หากไม่ได้กินจะรู้สึกหงุดหงิด มีผมหรือขนขึ้นในที่ที่ไม่ควรขึ้น ผมร่วง สิวขึ้น ในรายการที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเกิดซัสต์ที่รังไข่ และมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกันความดันสูง นิ่ง ไต เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบตัน และไขมันแทรกในตับ น้ำตาลส่งผลต่อหัวใจ ไต และ ตับ เมื่อน้ำตาลมีมากเกินไป ก็จะกลายเป็นไขมัน ซึ่งจะถูกสะสมไว้ในอวัยวะภายใน และนานวันเข้า อวัยวะเหล่านี้ก็จะถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน แล้วน้ำเมือกในร่างกายก็จะเริ่มผิดปกติ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น

• ทั้งนี้ผู้ที่ชอบกินหวาน ผิวหนังจะมีสภาพเป็นกรด ที่พร้อมจะให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายอีกด้วย เสี่ยงทำให้เป็นโรคติดเชื้อรุนแรง ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร ในการเจริญเติบโตของเชื้อโรค

ร่างกายขาดความสมดุล เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลเชิงเดี่ยวซึ่งได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในน้ำผลไม้ น้ำตาลในนม จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดเกิดภาวะเป็นกรดมากเกินไป จนร่างกายขาดภาวะสมดุล

ทำให้เกิดส่วนเกินตามร่างกาย ไขมันที่เกิดจากน้ำตาลส่วนเกิน จะถูกสะสมในตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากเกินไปตับจะส่งออกไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา สะโพก เป็นต้น

ผลต่อสมอง การทานน้ำตาลมากเกินไปจะมีผลต่อสมองทำให้รู้สึกง่วง หงาว หาว นอน อยู่ตลอด

เหล่านี้คือผลเสียของการรับประทานของหวาน หรืออาหารประเภทที่มีน้ำตาลที่มากเกินไป แต่ทุกสิ่งในโลกล้วนต้องมีสมดุล การรับประทานอะไรมากเกินไปนั้นไม่ดี แต่ถ้ารับประทานน้อยเกินไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ทานแป้งและน้ำตาลกันเลย เพราะอย่างไร"น้ำตาล" ก็เป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน และทำให้รู้สึกสดชื่น เมื่อกลัวโรคอ้วนก็ควรลดปริมาณน้ำตาลทานของหวานลดน้อยลง โดยไม่ต้องหลีกเลี่ยงไปเลย เพราะจะทำให้รู้สึกหิวและอยากมากขึ้นอีก!! จนทำให้กินหนักและน้ำหนักเพิ่มกว่าเดิม

การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็มีผลทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์

เรารู้กันดีว่าการกินน้ำตาลมากเกินไป ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพได้หลายโรค อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

ล่าสุด ผลงานวิจัยเรื่องหนึ่งระบุว่า การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็ทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากน้ำตาลที่รับประทานเข้าไป จะถูกย่อยเป็นกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสมอง และส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาท ที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนเราให้เกิดความสมดุล

ดังนั้น การกินน้ำตาลน้อยเกินไป จึงส่งผลให้สารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์เสียความสมดุล คนกินน้ำตาลน้อยๆ จึงกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด ไม่มีความอดทน และโมโหง่าย

องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณน้ำตาลที่ควรกินไว้ว่า ไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่เราควรได้รับใน 1 วัน หรือไม่ควรเกิน 4 – 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1,600 – 2,400 กิโลแคลรอลี โดยการกินน้ำตาลที่เหมาะสม ควรเป็นน้ำตาลอ้อย หรือน้ำตาลที่ได้จากแป้งไม่ขัดสี เพื่อร่างกายที่แข็งแรง อ่อนหวานอย่างพอดี

น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)ประโยชน์ของน้ำตาล

- และเมื่อน้ำตาลมีโทษก็ต้องมีประโยชน์บ้าง คือสามารถรักษาโรคท้องร่วงได้ โดยแพทย์ จะนำ"น้ำตาล" ผสมกับเกลือใหรับประทานชื่อฟื้นฟูร่างกายให้ตื่นตัวขึ้น นอกจากนี้ยังนำไปใช้กับแผลใหญ่ที่ติดเชื้อได้ผลมาก จะช่วยระงับการลุกลามของเชื้อและทำให้แผลหายไวขึ้น

- นอกจากจะช่วยให้อาหารมีรสหวานแล้ว น้ำตาลทรายยังใช้ในการถนอมอาหารและหมักอาหารได้อีกด้วย

- ในสิ่งมีชีวิต น้ำตาลทำหน้าที่คือ เป็นสารให้พลังงานที่สำคัญที่สุดแก่เซลล์ และเป็นสารตั้งต้นสำหรับการสังเคราะห์ชีวโมเลกุลต่างๆในเซลล์ ซึ่งเมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป อาหารจะถูกสกัดย่อยด้วยกรดในกระเพาะก่อนจะถูกย่อย และดูดซึมไปเลี้ยงร่างกายโดยลำไส้เล็ก ตรงนี้เองที่น้ำตาลซูโครสในอาหาร จะถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคส และฟรุคโทส ซึ่งจะไหลไปตามหลอดเล็กๆ ผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดไปตามหลอดเส้นเลือดใหญ่ โดยละลายอยู่ในเลือดและไหลกลับมาทางน้ำเหลืองเพื่อเข้าสู่ตับ โดยน้ำตาลบางส่วนจะถูกสะสมไว้ในตับ ในรูปของแป้งสีขาวที่ไม่สามารถละลายได้ แต่เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แป้งส่วนนี้จะสามารถละลายกลายเป็นน้ำตาล เพื่อส่งเข้ากระแสเลือด และหากมีน้ำตาลเหลืออยู่อีก ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเหล่านั้นเป็นไขมัน และเก็บไว้ในชั้นไขมันต่อไป

เมื่อน้ำตาล มีทั้งคุณและโทษ การจะรับประทานน้ำตาลก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป อย่าตามใจปาก เท่านี้น้ำตาลที่ว่ามีภัยมหันต์ ก็กลายเป็นมีคุณอนันต์ได้ รู้แบบนี้แล้วก็ควรคิดให้ดีก่อนทานในมื้อต่อไป ว่าควรจะบริโภคความหวานแต่พอดี ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป สุขภาพจะดีได้ล้วนอยู่ที่ความพอดีจริงๆ

Sunday, July 10, 2011

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Health Benefits of Bael Fruit & Bael Fruit Juice)

สมุนไพรเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านศึกษาอย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่การปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพกาย-ใจ อย่าง น้ำมะตูม เครื่องดื่มประจำครอบครัวของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณกาล ที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย จึงถือได้ว่า มะตูม เป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้ และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Health Benefits of Bael Fruit & Bael Fruit Juice)

มะตูม เป็นไม้ยืนต้น โดยมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่าง และใช้เรียกกันแตกต่างไป เช่น ตูม ตุ่มตัง กะทันตาเถร (ปัตตานี) มะปิน (เหนือ) บักตูม หมากตูม (อีสาน)

ลักษณะของมะตูม ผล มีผิวเกลี้ยง เปลือก หนาและแข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ในผลมะตูมมีเมล็ดตรงกลางเป็นพู มียางเหนียวใส นำมาใช้เป็นกาวจากธรรมชาติได้ เนื้อมะตูมมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เวลานำมาต้มเป็นชาจะมีกลิ่นหอมมาก เวลาสุกเนื้อจะนิ่มเป็นสีเหลืองหอมและมีรสหวานด้วย

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Health Benefits of Bael Fruit & Bael Fruit Juice)มะตูมที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน ส่วนมากจะอยู่ในรูปของมะตูมแห้งเป็นแว่นที่มีขายตามร้านยาแผนโบราณ, ร้านขายสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่รักและห่วงใยสุขภาพเท่านั้น ซึ่งนิยมนำมะตูมแว่นมาต้มเป็นน้ำมะตูมที่มีกลิ่นหอม สำหรับดื่มให้ชื่นใจ แก้กระหายน้ำ แถมยังให้คุณค่าอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น
  • เปลือก เปลือกของรากและลำต้นของมะตูม สามารถลดไข้ และใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมในลำไส้

  • ราก แก้พิษฝี พิษไข้ รักษาน้ำดี

  • ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ให้เอาใบมะตูมดิบๆ มาคั้นเอาน้ำเพื่อดื่ม ช่วยบรรเทาอาการไอและเสมหะเรื้อรังลงได้มี

  • ผลมะตูม ผลอ่อนที่มีสีเขียว ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขับลมในท้อง ผลแก่แก้เสมหะ ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถเอาผลสุกมาชงดื่มเป็นยาแก้ร้อนใน หรือ เอามะตูมตากแห้งมาต้มเป็นชาสมุนไพรก็จะได้ผล็อย่างเดียวกัน นอกจากนี้ ผลดิบแห้งยังใช้แก้บิด และแก้ท้องเสียในเด็กได้ด้วย ส่วนผลสุกนั้นกลับเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหารได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก
การดื่มน้ำมะตูมเย็นๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มขุ่นมัวของคุณ เย็นลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พร้อมเติมพลังให้กับร่างกายในยามที่อ่อนล้า คนโบราณยังเชื่ออีกว่าว่า มะตูม เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถทำให้เกิดกำลังใจ และความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้ มะตูม ยังมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และพิธีมงคลของไทย อย่างเช่น เวลาเข้ากราบบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินไปรับราชการ หรือ ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ก็จะได้รับพระราชทานใบมะตูมเป็นสิริมงคล งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี อีกทั้ง มะตูม ยังช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย


มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Health Benefits of Bael Fruit & Bael Fruit Juice)สูตรน้ำมะตูม (Bael Fruit Juice)

ส่วนผสม
- มะตูมแห้ง 8 กรัม (2ชิ้น)
- น้ำตาลทราย 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
- น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)

วิธีทำ
นำมะตูมแห้งมาล้างให้สะอาด ปิ้งไฟให้หอม นำไปใส่หม้อเติมน้ำ ตั้งไฟเคี่ยวสักครู่ ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายตั้งไฟให้ละลายชิมรสตามชอบ ยกลง

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางยา : เป็นยาระบาย ขับลม ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ทำให้ขับถ่ายดีและเจริญอาหาร ขับเสมหะแก้อาการร้อนในใด้ดี


credit: herbal.muasua.com/น้ำสมุนไพร/มะตูม-สมุนไพรสุขภาพ.html

Thursday, July 7, 2011

Vegetarian - Veggie - Vegivore มีความแตกต่างกันอย่างไร?

Vegetarian - Veggie - Vegivore, Are they different?

อาหารมังสวิรัติ คืออาหารจำพวกผักและผลไม้ ซึ่งทำให้ได้รับกากใยอาหาร ซึ่งช่วยในการขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกายได้ดี นิยมในคนวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เนื่องจากมักจะมีปัญหาเรื่องอาการท้องผูก และมี ปัญหาเรื่องไขมันในเส้นเลือดสูงแล้ว

อาหารมังสวิรัตินั้นจะไม่มีเนื้อสัตว์ เนื่องจากในเนื้อสัตว์มักจะมีไขมัน และน้ำมันจากสัตว์ปะปนอยู่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น และอาจเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ



Vegetarian - Veggie - Vegivore ทั้ง 3 คำนี้ ล้วนเป็นคำที่ใช้เรียกบุคคล ผู้ที่มีใจรักในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพประเภท ผักต่างๆ งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ แต่ทั้งสามประเภทนั้นก็ไม่เหมือนกันซะีทีเดียว และมีความแตกต่างกันในรายละเอียดบางอย่าง ซึ่งเราจะมาดูกันว่าทั้งสามคำนี้แตกต่างกันอย่างไรบ้างค่ะ

"Vegetarian - Veggie - Vegivore" มีความแตกต่างกันอย่างไร?

"Vegetarian" สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่รักการรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติ คงจะคุ้นเคยกับคำว่า Vegetarian กันเป็นอย่างดี ว่านั่นคือ ผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เน้นทานผักเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังสามารถรับประทานอาหารประเภท นม เนย ไข่ น้ำปลา ฯ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ได้บ้างเล็กๆน้อยๆ เน้นเรื่องของการกินเพื่อสุขภาพเป็นหลัก

Vegivore - อาหารไทย - น้ำพรก ผักลวกอาหารไทย Vegivore : น้ำพริก - ผักลวก

"Veggie" คือผู้ที่งดเว้นการกินเนื้อสัตว์เลย เคร่งครัดในการรับประทานอาหารมาก เพราะนอกจากเค้าจะเน้นเรื่องของการกินเพื่อสุขภาพแล้ว ยังเน้นถึงเรื่องของการกินอาหาร ที่ไม่ไปเบียดเบียนเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ต้องถูกฆ่าเพื่อมาเป็นอาหาร ไม่รับประทานอะไรที่ทำมาจากสัตว์เลย นม เนย ไข่ หรือผลิตภัณ์อะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือที่ต้องผลิตมาจากสัตว์ ก็จะไม่รับประทานด้วยเช่นกัน จะคล้ายกับการกินเจบ้านเรา แต่แตกต่างตรงที่การกินเจ ต้องงดเว้นพวกผักที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม ต้นหอม ฯ นั่นเองค่ะ
Vegivore - อาหารไทย - เมี่ยงคำอาหารไทย Vegivore : เมี่ยงคำ (Miang Kam)

ส่วน "Vegivore" เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนรักสุขภาพ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นเทรนใหม่ ของการรับประทานอาหารของคนที่รักสุขภาพในยุคนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ

Vegivore อ่านว่า เว-จิ-วอร์ คือ ผู้ที่รับประทานผักด้วย เนื้อสัตว์ด้วย แต่เน้นปริมาณของผักเป็นอาหารหลัก คือมีผักจำนวนมากและมีเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย เน้นกินผักมากว่ากินเนื้อสัตว์ ซึ่งเมนูของอาหารไทยส่วนใหญ่ ตรงกับหลักของ Vegivore เป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างอาหารไทยแบบ Vegivore เช่น ผักบุ้งไฟแดง ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดคะน้าปลาเค็ม น้ำพริกปลาทู ส้มตำ น้ำพริก-ผักลวก ผัดไทยกุ้งสด ฯลฯ เป็นต้น

จริงๆแล้วอาหารไทยเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริงมายาวนาน เพราะสำรับอาหารไทยแต่ละชนิดมีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ไม่ว่าจะพืช ผัก และสมุนไพรต่างๆ ก็ถูกนำมาปรุงลงในเมนูอาหารไทยแต่ละชนิดแตกต่างกันไป แต่ละเมนูของอาหารไทยก็มีรสชาติอร่อยล้ำไม่แพ้อาหารชาติไหนๆ และปัจจุบันอาหารไทยก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ชาวต่างชาติต่างนิยมที่จะรับประทานอาหารไทยกันทั่วโลก เพราะเห็นคุณค่าของอาหารไทยดังที่กล่าวมาแล้ว ในเมื่ออาหารไทยก้าวล้ำนำเทรนแบบนี้ แล้วเราคนไทยจะไม่หันมารับประทานอาหารไทยกันหรือค่ะ ถ้าคุณคือคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ คุณก็ไม่ควรพลาดการรับประทานอาหารไทยแบบ Vegivore นี้นะคะ

Vegivore - อาหารไทย - ยำตระไคร้อาหารไทย Vegivore : ยำตระไคร้

Vegivore - อาหารไทย - พล่ากุ้งอาหารไทย Vegivore : พล่ากุ้ง

Vegivore - อาหารไทย - ผัดเปรี้ยวหวานอาหารไทย Vegivore : ผัดเปรี้ยวหวาน

Vegivore - อาหารไทย - ข้าวยำอาหารไทย Vegivore : ข้าวยำ

Wednesday, July 6, 2011

อาหารไทย : ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง Thai sweet and sour shrimp

ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง >> โหระพา เว็บรวมเมนูอาหาร และทุกอย่างเกี่ยวกับ อาหาร
ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง. เครื่องปรุง. กุ้งชีแฮ้(ตัวละ15-20กรัม), 6-8 ตัว. น้ำมันพืช, 3 ช้อนโต๊ะ. กระเทียมบด, 1/2 ช้อนโต๊ะ. หอมใหญ่หั่นเสี้ยว, 1/2 ลูก ...
http://www.horapa.com/content.php?Category=Thai&No=601

ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง
เป็นอาหารที่มีรสชาติที่ทุกคนต่างก็ชอบรับประทานกัน และส่วนเรื่องน่าตาของอาหารไม่ต้องพูดถึงกันเลย เพราะมีสีสันสวยงามมาก และเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆอีกด้วย
http://news.thaibizcenter.com/hotnews.asp?newsid=6226


สูตรอาหารไทย : ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง (Thai sweet and sour shrimp)

Vegivore - อาหารไทย - ผัดเปรี้ยวหวานส่วนผสม

• กุ้งชีแฮ้(ตัวละ15 - 20กรัม) 6 - 8 ตัว
• น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
• กระเทียมบด 1/2 ช้อนโต๊ะ
• หอมใหญ่หั่นเสี้ยว 1/2 ลูก
• แตงกวาหั่นเฉียงทั้งเปลือก 2 ลูก
• มะเขือเทศหั่นเสี้ยว 1 ลูก
• น้ำหรือน้ำสต๊อกหมู 1/2 ถ้วย
• ซอสมะเขือเทศ 3 ช้อนโต๊ะ
• น้ำปลา 3 ช้อนชา
• น้ำส้มสายชู 1/2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
• ต้นหอมหั่นท่อนขนาด 1 นิ้ว 3 ต้น
• พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นเฉียง 1 เม็ด
• พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา


วิธีทำ

1. ล้างกุ้ง แกะเปลือก เด็ดหัวไว้หาง ผ่าหลังดึงเส้นดำออก ใส่ถ้วย พักไว้
2. ตั้งกระทะบนไฟกลางจนร้อน ใส่น้ำมันและกระเทียมลงเจียวพอใกล้เหลือง จึงใส่กุ้ง หอมใหญ่ ผัด
พอสุกทั่ว ตามด้วยแตงกวา มะเขือเทศ ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำหรือน้ำสต๊อกหมู ปรุงรสด้วยซอสมะเขือ
เทศ น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำตาล ผัดอีกครั้งให้ทั่ว ใส่ต้นหอม และพริกชี้ฟ้า ปิดไฟ
3. ตักใส่จานอาหาร โรยพริกไทยป่น เสิร์ฟร้อนๆ


credit: http://happyfoodathome.blogspot.com/2009/11/blog-post_07.html

Tuesday, July 5, 2011

อาหารไทย : พล่ากุ้ง shrimp salad with lemon grass and mint

สูตรอาหารไทย | พล่ากุ้ง
สูตรอาหารไทย : พล่ากุ้ง เมนูชื่อดัง มีวิธีทำทีละขั้นตอน เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับผู้ที่นิยมทำอาหารไทยทั้งมือใหม่และผู้ที่ทำเป็นประจำ . .
www.ezythaicooking.com/free.../thai-shrimp-spicy-salad_th.html

สูตรอาหารไทย : พล่ากุ้ง - สูตรอาหารไทย - Siam2Fun.Com ::
สูตรอาหารไทย : พล่ากุ้ง สูตรอาหารไทย : พล่ากุ้ง[ THAI SHRIMP SPICY SALAD ] เครื่องปรุง + ส่วนผสม ...
forum.siam2fun.com/thread-407251-1-1.html




สูตรอาหาร "พล่ากุ้ง" (shrimp salad with lemon grass and mint)

Vegivore - อาหารไทย - พล่ากุ้งส่วนผสม

1. กุ้งสด 300 กรัม
2. เหล้า 1 ช้อนโต๊ะ
3. ตะไคร้? 3-4 ต้น
4. หอมแดง 3-4 หัว
5. ใบมะกรูด 3-4 ใบ
6. ใบสะระแหน? 4-5 กิ่ง
7. นํ้าพริกเผา 2-3 ช้อนชา
8. นํ้ามะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
9. นํ้ามะกรูด 1 ช้อนชา
10. นํ้าปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
11. นํ้าตาลปีบ 2-3 ช้อนชา
12. พริกขี้หนู 10-15 เม็ด

วิธีทํา

1. ล้างกุ้งให้สะอาด ปอกเปลือก เอาหนวดออก เหลือหางไว้ ผ่าหลังเอาเส้นดําออก นําไปย่าง หรือลวกพอสุก เคล้ากับเหล้าพักไว้

2. ซอยตะไคร้ หอมแดง ใบมะกรูด พริกขี้หนู

3. เด็ดใบสะระแหน่

4. ผสมนํ้าพริกเผา นํ้าปลา นํ้ามะนาว นํ้ามะกรูด นํ้าตาลปีบคนให?เข้ากัน ชิมรส เปรี้ยว เค็ม หวานเล็กน้อย

5. เทนํ้ายําที่ผสมไว้ ใส่ในกุ้ง ใส่ตระไคร้ หอมแดง ใบมะกรูด พริกขี้หนู คลุกให้เขากัน โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ ใบมะกรูด

6. จัดใส่ภาชนะ ให้สวยงาม นําไปเสิร์ฟ


ข้อแนะนำ

1. ควรเลือกกุ้งสด เนื้อกุ้งจะหวาน กรอบ อร่อย

2. ถ้าได้กุ้งไม่สด ให้นํามาแช่นํ้าที่ละลายโซดาไบคาร์บอเนต จะช่วยให?เนื้อกุ้งกรอบขึ้น

3. นํ้ามะกรูดช่วยให้พล่ามีกลิ่นหอมขึ้น

4. ไม่ควรลวกหรือเผากุ้งจนสุกมากไปเนื้อกุ้งจะแข็งกระด้าง

5. จะใช้ปลาหมึก แทนกุ้งก็ได้


credit: http://www.deeday23.com/showfooddetail.php?ct_id=6

Monday, July 4, 2011

ผักอินทรีย์ คือผักปลอดสารพิษหรือเปล่า? (Difference Between Organic & Natural Food)

ผักอินทรีย์ ผักปลอดสารพิษ เกษตรธรรมชาติ ผักต่างๆเหล่านี้ เหมือนหรือต่างกันหรือไม่อย่างไร?

ผักอินทรีย์คือผักปลอดสารพิษหรือเปล่า?

ข้อมูลที่สับสน
หากคุณไปเดินตลาดในยุคนี้จะพบว่า ผักที่ขายในท้องตลาดมีป้ายกำกับหลายอย่าง จนคุณอาจสับสนว่ามันเหมือนกันหรือไม่?


ผักอินทรีย์ หรือ ผักออแกนิค
ปลูกโดยวิธีเกษตรอินทรีย์ เกษตรอินทรีย์ คือระบบการผลิตที่รักษาสมดุลของธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ และหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและฮอร์โมนต่างๆ ตลอดจนไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) เน้นใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพปรับปรุงบำรุงให้อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ต้นพืชแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงด้วย ผลผลิตที่ได้จึงไม่มีสารพิษตกค้าง ปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค และไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

มีการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อยู่เป็นระยะๆ โดยหน่วยงานรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เช่น สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ซึ่งได้รับการรับรองจาก IFOAM เป็นหน่วยงานรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

Difference Between Organic and Natural Food - ผักอนามัย ผักปลอดภัยจากสารพิษ ผักปลอดสารพิษผักไร้สารพิษ/เกษตรธรรมชาติ
ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี และปุ๋ยเคมี แต่ข้อกำหนดไม่เข้มข้นเท่าเกษตรอินทรีย์ และไม่มีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์

ผักอนามัย ผักปลอดภัยจากสารพิษ ผักปลอดสารพิษ
ยังคงใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีในการปลูกอยู่ เพียงแต่มีการเว้นระยะเก็บ จึงยังคงมีสารพิษตกค้างอยู่แม้จะไม่เกินค่าที่มาตรฐานกำหนด นอกจากนี้ยังไม่ห้ามใช้พืชผักจีเอ็มโอ

ผักไฮโดรโพรนิกส์
ปลูกโดยไม่ใช้ดิน แต่ใช้น้ำ โดยใส่สารอาหารไว้ในน้ำ ซึ่งถือเป็นสารเคมีที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ และมนุษย์เป็นผู้กำหนดการให้สารอาหารต่อพืช ผักไฮโดรโพรนิกส์จึงไม่ใช่ผักอินทรีย์ (Organic) หรือแม้กระทั่งผักไร้สารเคมี (non-chemical) อย่างที่คุณเคยเข้าใจ

ข้อดีของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน หรือ พืชออแกนิกส์
  1. สามารถทำการเพาะปลูกพืชได้ทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นในที่ที่ดินดีหรือไม่ดี หรือสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะต่อการเพาะปลูก เราก็สามารถใช้วิธีไฮโดรโปนิกนี้ ได้
  2. ให้ผลผลิตต่อพื้นที่สูงกว่า ร่นระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว ทำการผลิตได้สม่ำเสมอและต่อเนื่อง
  3. สามารถปลูกพืชเชิงธุรกิจได้หลากหลายชนิด
  4. ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับศัตรูพืชที่เกิดจากดิน จึงไม่ต้องใช้สารพิษเพื่อกำจัดแมลง เป็นระบบปลูกพืชที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  5. ให้ผลผลิตที่สดสะอาด ปราศจากสารพิษทั้งจากดินและย่าฆ่าแมลง จึงบริโภคได้อย่างมั่นใจ
  6. ผลผลิตได้ปริมาณ คุณภาพและราคาดีกว่าปลูกบนดินมาก เพราะสมารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของพืชได้ดีกว่า
  7. อัตราการใช้แรงงาน เวลาในการปลูก และค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
  8. ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเตรียมดิน และกำจัดวัชพืชก่อนการปลูก
  9. ใช้น้ำและธาตุอาหารได้อย่างประหยัด คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ เช่น ใช้น้ำลดลงถึง10 เท่าตัวของการปลูกแบบธรรมดา
  10. ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสารป้องกันและจำกัดแมลงได้ 100%
  11. ประหยัดค่าขนส่ง เพราะสามารถเลือกพื้นที่ที่จะปลูกใกล้กับแหล่งรับซื้อได้ เนื่องจากใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มาก
  12. มีวิธีการปลูกและการดูแลรักษาง่าย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่คนพิการก็สามารถทำได้เป็นกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว และทางเลือกในการเพิ่มอาชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาส เช่น คนพิการอีกด้วย


ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) ระบุถึงข้อแตกต่างระหว่างอาหาร Organic และ Natural ไว้ดังนี้

Organic is..
A system of farming -- regulated by the U.S. Department of Agriculture -- that doesn't use most conventional pesticides, fertilizers or added hormones. It's easier on the environment and foods may offer more nutrients.

Organic is regulated by the USDA.

Natural is...
Products shouldn't contain artificial ingredients or chemical preservatives, but they may have pesticides and hormones. The federal government does't regulate natural foods, except in the case of some meat and poultry.


credit:
http://www.saijaihealthyfood.com/index.php/know-more-about-organic-food.html
http://www.kasetorganic.com/ผักออแกนิค-มีประโยชน์.html

Saturday, July 2, 2011

7 Beauty Benefits of Pineapples : 7 คุณประโยชน์เพิ่มความสวยจาก สับปะรด

7 Beauty Benefits of Pineapples

The pineapple is one of my favorite fruits in the world. I used to not like it because it kind of stings in the mouth and can be very sour. But as I grew up I learned to appreciate its tangy and sour to sweet taste, especially when I think of all its health benefits that the adults keep informing me about.

I’m pleased that these days we always seem to have slices of fresh pineapple in the refrigerator and that I can indulge in a slice or two anytime I want. But I still think my knowledge on the benefits of pineapple is limited, that’s why I thought of researching more about it on the web. Read on to know just seven of the many perks of eating pineapples that I’ve found out.

1. It lessens risk of hypertension. Hypertension occurs when too much force is exerted on the artery walls while the blood circulates. One of the best ways to combat this is to infuse a high amount of potassium plus a small amount of sodium in your diet to lower blood pressure. Pineapples are the perfect for hypertension because a cup of pineapple contains about 1 mg of sodium and 195 mg of potassium.

2. It helps you lose weight! Eating pineapple can highly cut down your sweet cravings because of its natural sweetness, saving you from a lot of sugar-induced calories. Incorporating a lot of pineapple in your meals will also help a lot in weight loss because pineapples can make you feel full without giving you an ounce of fat.

3. It maintains good eye health. Time and again, studies have found that pineapples protect against age-related eye problems because it is rich in antioxidants.

4. It fights a lot of diseases, being rich in Vitamin C. Pineapples are known to be a very good source of vitamin C, which protects our bodies from free radicals that attack our healthy cells. Lots of free radicals in the body can lead to major diseases like heart disease, diabetes, and various cancers. Vitamin C is considered the most important water-soluble anti-oxidant that fights against disease-inducing substances within the body. It is also an excellent fighter against flu and a great enhancer of the immune system.

5. It prevents plaque and keeps teeth healthy. Another benefit of the high amount of vitamin C in pineapples is that it prevents formation of plaque and gum diseases.

6. It cures constipation and irregular bowel movement. Pineapple is rich in fiber, making it effective in curing constipation and irregular bowel movement.

7. It keeps your skin beautiful! Pineapple contains enzymes that make skin elastic, improve skin hydration, and remove damaged and dead cells. Thus, it helps us achieve a clear and glowing complexion. The enzymes in pineapples also fight free-radical damage and can reduce age spots and fine lines.


credit: http://skinbeautifulblog.wordpress.com/2008/05/13/7-benefits-of-pineapple/
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...