Showing posts with label น้ำตาล. Show all posts
Showing posts with label น้ำตาล. Show all posts

Wednesday, April 18, 2012

หวานเป็นลม ขมเป็นยา (Bitter pills may have sweet effect)

หวานเป็นลม ขมเป็นยา บรรพบุรุษไทยเปรียบเปรยไว้ว่า แม้รสชาติหวานจะน่าติดใจแต่ก็อาจจะนำมาซึ่งโทษและภัยสารพัด ในขณะที่รสชาติขม เช่น บอระเพ็ด แม้รสชาติจะไม่น่าพิสมัยในเบื้องต้น แต่ก็นำมาซึ่งประโยชน์ต่อสุขภาพ เปรียบเสมือนคำชมหวานหูมักไร้สาระทำให้ลืมตัวขาดสติ แต่คำติซึ่งมักจะไม่ค่อยจะไพเราะเสนาะหูในเบื้องต้น มักเป็นประโยชน์ทำให้ได้คิด

การรับประทานหวาน อีกนัยหนึ่งคือรับประทานน้ำตาลมากเกินไป ก่อให้เกิดโรคที่เนื่องมาจากความอ้วนทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กลุ่มอาการผิดปกติทางเมตาบอลิซึ่ม โรคข้อ มะเร็งบางชนิด และอื่นๆ อีกมากมาย


หวานแค่ไหน...ถึงจะพอเหมาะ
หวานเกินไปใช่จะดี หวานน้อยไปก็พานจะทำให้คนบางคนรับประทานอาหารไม่อร่อยลิ้นเอาเสียเลย ถ้าเช่นนั้น อะไรเล่าคือทางสายกลาง?สมาคมโรคหัวใจของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของความหวานหรือน้ำตาล (แสดงว่ากินหวานมากเกินไป...ส่งผลต่อหัวใจได้เช่นกัน) และได้แนะนำไว้ว่า สำหรับคุณผู้หญิงควรจำกัดการบริโภคน้ำตาลให้ไม่เกินวันละ 25 กรัม (หรือประมาณ 6 ช้อนชา) ในขณะที่คุณผู้ชายรับประทานได้มากกว่านิดหน่อยคือไม่เกิน 37.5 กรัมต่อวัน (หรือประมาณ 9 ช้อนชา)


เรื่องจริง....ในชีวิตประจำวัน
อ่านดูแล้วอาจจะรู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมให้รับประทานน้ำตาลได้เยอะขนาดนั้นในวันหนึ่งๆ จริงๆ แล้วคนอเมริกันส่วนใหญ่รับประทานเกิน (คนไทย หมอหาสถิติไม่เจอ แต่ถ้าดำรงชีวิตแบบประเทศทางตะวันตก หรือรับประทานขนม แม้จะเป็นขนมไทยเป็นประจำ ก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไร) แค่น้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีน้ำตาลอยู่ประมาณ 30 กรัม หรือ 7 ช้อนชา ซึ่งก็เกินไปสำหรับปริมาณน้ำตาลที่แนะนำให้คุณผู้หญิงรับประทานในแต่ละวัน


มีไหม...น้ำตาลดีๆ
น้ำตาลที่มากับผลิตผลตามธรรมชาติ เช่น น้ำตาลฟรุกโตสที่มากับผลไม้ หรือน้ำตาล แล็กโทสที่มากับผลิตภัณฑ์นม พวกนี้เป็นแหล่งน้ำตาลธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร ผู้ที่รับประทานก็จะได้ประโยชน์จากผลิตผลตามธรรมชาตินั้นนอกเหนือไปจากตัวน้ำตาลเอง ซึ่งโดยปกติ ธรรมชาติก็จะจัดสรรมาอย่างพอเหมาะ แต่น้ำตาลที่เติมลงไปเพิ่มเติมนี่สิ เป็นตัวปัญหาที่มีแต่โทษต่อร่างกาย โดยมิได้มีประโยชน์เพิ่มเติมแต่อย่างใด


ลองดูวิธีง่ายๆ...ให้หวานลดลง
สำหรับตัวหมอเอง...เป็นคนติดหวาน จะให้หยุดความหวานเสียเลยก็ไม่ง่ายนัก เลยใช้วิธีเดินสายกลางค่อยๆ ปรับตัวเองให้ชินกับความหวานน้อยลงไปเรื่อยๆ เช่น ค่อยๆ ปรับเติมน้ำตาลในกาแฟ 2 ช้อน เป็น 1 ช้อนครึ่ง และปัจจุบันเหลือไม่ถึงช้อนชา ตั้งใจจะให้เหลือ 1/2 ช้อนชา รวมทั้งรับประทานขนม เป็นคำ ไม่ใช่เป็นถ้วยหรือเป็นชิ้นใหญ่ เติมน้ำตาลในอาหารต่างๆ ลดลง และใช้ความหวานจากธรรมชาติปรุงแทน เช่น ผลไม้ที่มีรสหวาน และลดการปรุงเพิ่มเติมบนโต๊ะ เช่นเวลารับประทานก๋วยเตี๋ยว ลดการดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวาน เรียกว่านานๆ ถึงจะดื่มสักครั้ง


น้ำตาลเทียม...ทางเลือกหรือ...ทางไม่ควรเลือก
ถึงแม้ว่ายังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าน้ำตาลเทียม ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แต่ทางการแพทย์เองก็มิได้สนับสนุนให้มีการใช้น้ำตาลเทียมเป็นกิจวัตรโดยไม่จำเป็น สำหรับความเห็นส่วนตัวของหมอ อะไรที่เป็นธรรมชาติน่าจะดีกว่าสารสังเคราะห์ ลองปรับความหวานลดลงแบบธรรมชาติ โดยลด/เลิกการรับประทานหรือเติมน้ำตาล และหันมาใช้ความหวานจากผัก ผลไม้แทน ที่สำคัญบริโภคในปริมาณพอเหมาะจะดีกว่า หวานจะได้ไม่เป็นลมไงค่ะ


credit: นิตยสาร woman plus


Sunday, October 2, 2011

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำอัดลมเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยม ที่หลายๆ คนเลือกเป็นตัวเลือกแรกเมื่อกระหาย ลองคิดถึงความรู้สึกเหนื่อยๆ ร้อนๆ แล้วได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ สักขวด รู้สึกว่าดื่มแล้วจะมีเรี่ยวแรง ใครที่ออกกำลังกายมา ดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อย อิ่มเลยก็มี บางคนถึงกับไม่ต้องทานอาหารมื้อนั้นเลยก็เป็นได้ แต่รู้หรือไม่ว่า องค์ประกอบของน้ำอัดลมนั้นมีอะไรบ้าง ทำไมดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเช่นนั้น

ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมรสไหน ชนิดไหนก็มีองค์ประกอบหลักเหมือนกัน คือ น้ำ, น้ำตาล, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก, คาเฟอีน, สีและกลิ่นหรือรส รวมถึงสารกันบูด เมื่อเราทราบถึงองค์ประกอบของมันแล้ว เรามาวิเคราะห์กันดีกว่าว่าสารเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีประโยชน์หรือเป็นโทษอย่างไร มีผลกระทบต่อร่างกายเราอย่างไร

เริ่มจากองค์ประกอบแรกและเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของน้ำอัดลม คือ น้ำ ร่างกายเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 60-70% นอกจากน้ำจะทำให้เราสดชื่นแล้ว น้ำยังเป็นตัวรักษาสมดุลต่างๆ ให้กับร่างกาย เช่น ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิคงที่ เพราะน้ำมีความจุความร้อนมาก ช่วยละลายสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ทำให้เซลล์ต่างๆ ดูดซึมสารอาหารและนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยในระบบขับถ่าย และเจือจางสารพิษที่ร่างกายได้รับอีกด้วย แต่น้ำไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกายแต่อย่างใด

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)น้ำตาล เป็นสารอาหารชนิดเดียวที่อยู่ในขวดน้ำอัดลม เพราะเป็นสารที่ให้ความหวานและพลังงาน น้ำตาลที่ใช้ในน้ำอัดลมคือ ซูโครส (น้ำตาลทราย) เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตซึ่งจะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อกรัม ถ้าดูจากข้างขวดก็จะพบว่าในทุกๆ 100 มิลลิลิตร จะประกอบด้วยน้ำตาลประมาณ 10.6 กรัม (ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำอัดลม) ประมาณ 42.4 กิโลแคลอรี ถ้าเราดื่มน้ำอัดลม 1 ลิตร จะให้พลังงาน 424 กิโลแคลอรี ขณะที่โดยปกติร่างกายต้องการพลังงานวันละประมาณ 2000-2500 กิโลแคลอรี จึงทำให้เรารู้สึกอิ่มและสดชื่น การที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่าที่ร่างกายต้องการ อินซูลินจะทำงานหนักเพื่อที่จะเก็บน้ำตาลที่มากเกินพอในกระแสเลือดนั้นในรูป ของไกลโคเจนและไขมันใต้ผิวหนัง เป็นเหตุให้เรามีน้ำหนักมากขึ้นและอ้วนขึ้นนั่นเอง (ถ้าได้รับพลังงานมากกว่าที่ร่างกายต้องการ 7700 กิโลแคลอรี ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม) นอกจากนี้การบริโภคน้ำอัดลมมาก จะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารได้น้อยลง อาจเป็นเหตุให้ขาดสมดุลทางโภชนาการ

น้ำตาลที่สูงมากในน้ำอัดลมทุกขวด เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับเราในเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินปกติ เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋องหรือขวด มีน้ำตาลสูงเทียบเท่าน้ำตาลทราย 15-20 ช้อนชา เรียกว่าเราได้พลังงานมหาศาลถึง 300-400 แคลอรี่ หากใช้ไม่หมดมันก็จะสะสมเป็นชั้นไขมันในพุง หรือในต้นขาของเรา

การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และบ่อย ๆ ไม่เป็นผลดีต่อระบบภายในร่างกาย เมื่อน้ำตาลสูงร่างกายก็ต้องพึ่งฮอร์โมนอินซูลินในการลดน้ำตาลในเลือด ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนัก ก็อาจเกิดความเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ก็เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน จากเบาหวานก็จะมีอีกสารพัดโรคที่ตามมา อาทิ ความดันสูง หลอดเลือดตีบ โรคหัวใจ

ส่วนผู้ที่กังวลเรื่องความอ้วน มักหลีกเลี่ยงไปดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาล เช่น Light, Zero หรือ Diet นั้น จะใช้สาร (เคมี) ให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งจะให้ความหวานแต่ไม่ให้พลังงาน อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะสารให้ความหวานบางชนิดจะเป็นพิษต่อร่างกายหรือเป็นสารก่อมะเร็ง สารให้ความหวานที่ใช้อยู่ปัจจุบันนั้นยังได้รับอนุญาตให้ใช้อยู่ เพราะปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าสารนั้นเป็นพิษต่อร่างกาย แต่ในอนาคตอาจพบว่าเป็นสารพิษเหมือนในอดีตที่เปลี่ยนสารให้ความหวานอยู่เสมอ เพราะพบว่าเป็นพิษ ก็เป็นได้

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเท็กซัสกว่า 8 ปีต่อเนื่อง ได้มีข้อสรุปว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาล และใส่สารทดแทนความหวาน จะมีโอกาสน้ำหนักเกินกว่ากลุ่มปกติการศึกษาชี้ถึงความเสี่ยงที่จะอ้วนสูงถึง 41% สำหรับทุก ๆ ขวดที่ดื่มเข้าไป สาเหตุที่การดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล กลับมีโทษต่อร่างกายมากกว่า เพราะสารทดแทนความหวานสร้างปฏิกิริยาทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเก็บกักไขมันมากกว่าปกติ มากกว่าการเก็บจากภาวะที่เราได้จากน้ำตาลธรรมชาติ และเกิดความประมาทของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่ม ที่คิดว่าไม่มีน้ำตาลจึงไม่กังวลเรื่องน้ำหนักตัว ทำให้เผลอใจกินอย่างไม่ระมัดระวัง กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้วนเสียแล้ว

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)กรดคาร์บอนิก เป็นองค์ประกอบที่ทำให้น้ำอัดลมซ่า มีฟอง และมีรสเปรี้ยวอ่อนๆ กรดคาร์บอนิกนั้น ได้จากปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้ความดันสูงบังคับ (อัด) ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำให้ได้ เพราะในสภาวะความดันปกติคาร์บอนไดออกไซด์แทบจะไม่ละลายน้ำ หรือทำปฏิกิริยากับน้ำเลย แต่กรดคาร์บอนิกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เสถียร คือสลายตัวได้ง่ายในสภาวะความดันปกติ ยิ่งถ้ามีความร้อนด้วยจะยิ่งเร่งการสลายตัวให้เร็วยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายตัวของกรดคาร์บอนิกก็คือน้ำกับคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นเอง ดังนั้นจึงต้องเก็บน้ำอัดลมภายใต้ความดัน ก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า “น้ำอัดลม” เมื่อเปิดขวดออก ความดันสูงในขวดก็จะลดลงเท่ากับความดันปกติ จึงทำให้กรดคาร์บอนิกสลายตัวออกมา ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดฟองนั่นเอง กรดคาร์บอนิกยังสามารถย่อยสลายหินปูนได้ จึงสามารถกัดกร่อนกระดูกและฟันได้เช่นกัน

เช่นเดียวกับ กรดฟอสฟอริก ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะ ละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน นอกจากจะทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแล้ว ยังทำให้นอนหลับยาก ฟันผุ อาจทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากฟอสเฟสไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน

คาเฟอีน เป็นสารที่มีกลิ่นหอมและพบมากในชา กาแฟ เป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงลง เมื่อได้รับคาเฟอีน ร่างกายจะมีความต้องการคาเฟอีนมากขึ้น และถ้าหยุดบริโภคคาเฟอีนอย่างทันที อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนได้ การบริโภคคาเฟอีนมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดคาเฟอีนได้ ซึ่งจะปรากฏอาการต่างๆ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น หรือแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ เด็กที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะทำให้มีรูปแบบการนอนที่ผิดแผกไปจากเดิม เด็กเหล่านี้จะนอนไม่หลับในเวลากลางคืน และง่วงนอนในเวลากลางวัน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ลดลง

สารกันบูดหรือวัตถุกันเสีย ใส่เพื่อให้สามารถเก็บน้ำอัดลมได้นาน ในน้ำอัดลมนิยมใช้ กรดซิตริก (เป็นกรดที่อยู่ในมะนาว) สามารถป้องกันการเจริญของแบคทีเรียและยีสต์ได้ดี แต่เป็นกรดค่อนข้างแรง จะทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร ส่วนสี กลิ่นและรส เป็นสารเคมีสังเคราะห์ทั้งสิ้น สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าได้รับมากเกินไปก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้น

แนวทางในการดื่มน้ำอัดลมที่ถูกต้อง
  • ไม่ดื่มในปริมาณมาก
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลมระหว่างมื้ออาหารหลัก หรือดื่มในปริมาณน้อย
  • หลังดื่มน้ำอัดลม ควรบ้วนปากหรือแปรงฟันเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ
  • ไม่ควรดื่มบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ อาจทำให้กระเพาะเกิดแผลได้
เมื่อทราบแล้วว่าน้ำอัดลมประกอบด้วยอะไรบ้างแล้ว เราก็พอจะประเมินได้ว่า น้ำอัดลมมีประโยชน์และมีโทษต่อร่างกายเราอย่างไร การดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่เหมาะสมและถูกวิธี ก็สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับร่างกายได้


credit: http://blog.eduzones.com/

Wednesday, July 13, 2011

น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)

"น้ำตาล" สารให้ความหวานตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง เรียกกันได้หลายแบบโดนขึ้นอยู่กับรูปร่างลักษณะของน้ำตาล เช่นน้ำตาทราย น้ำตาลกรวด น้ำตาลก้อน น้ำตาลปีบ เป็นต้น แต่ถ้าในทางเคมี หมายถึง"ซูโครส" น้ำตาล เป็นสารประกอบ คารฮโบไฮเดรต มีรสหวาน โดยมากน้ำตาลจะได้จากมะพร้าว อ้อย ต้นบีท อินทผลัม ข้าวฟ่าง สมัยโบราณเราทำ"น้ำตาล" จากน้ำต้นตาลจึงเรียกสารให้ความหวานนั้นว่า"น้ำตาล" แม้ว่ารูปแบบของสารให้ความหวานจะเปลี่ยนไป ทั้งรูปลักษณ์และวัตถุดิบโดยทำมาจากน้ำอ้อย แต่ชื่อ"น้ำตาล" ก็ยังคงถูกใช้อยู่จวบจนปัจจุบัน

น้ำตาล ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องปรุงรส ที่ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้น่ารับประทาน แต่น้ำตาลก็จัดเป็นอาหารที่ให้พลังงาน แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป ทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ ซึ่งอาจร้ายแรงจนคุณคาดไม่ถึง

• ปกติใน 1 วัน เรารับประทานอาหารเข้าไปหลากหลายประเภท ทังแป้ง โปรตีน ไขมัน ซึ่งแล้วแต่เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงทั้งสิ้น เมื่อเราเพิ่มการบริโภค"น้ำตาล"เข้าไปอีกถือว่าเกินพอดี อาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เพราะระดับวิตามินบี1 ลดน้อยลง เช่นเหน็บชา ภูมิแพ้ อารมณ์แปรปรวน กระสับกระส่าย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ และโรคอ้วน
น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)
"น้ำตาล"อยู่ในเลือดจะมีผลให้เลือดเหนียวข้นขึ้น เลือกจะไหลช้าลง และนำสารต่างๆไปเลี้ยงร่างกายได้ช้า ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมร่างกายลดลงทำให้เส้นเลือกฝอยตีบตันได้ง่าย และเกิดความเสื่อมกับอวัยวะต่างๆได้เร็วขึ้น เป็นต้นเหตุเสี่ยงสารพัดโรค การทานน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้มีอาการเป็นตะคริว เวลามีรอบเดือนเป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับ

ในเด็กที่กินน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ รวมถึงอาจกลายเป็นเด็กที่ไม่มีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ และทำให้มีอารมณ์โกรธได้ง่าย

• สัญญาณเตือนภัยว่า ร่างกายได้รับอันตรายจากความหวานก็คือ น้ำหนักลดยาก อยากกินหวาน หากไม่ได้กินจะรู้สึกหงุดหงิด มีผมหรือขนขึ้นในที่ที่ไม่ควรขึ้น ผมร่วง สิวขึ้น ในรายการที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเกิดซัสต์ที่รังไข่ และมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกันความดันสูง นิ่ง ไต เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบตัน และไขมันแทรกในตับ น้ำตาลส่งผลต่อหัวใจ ไต และ ตับ เมื่อน้ำตาลมีมากเกินไป ก็จะกลายเป็นไขมัน ซึ่งจะถูกสะสมไว้ในอวัยวะภายใน และนานวันเข้า อวัยวะเหล่านี้ก็จะถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน แล้วน้ำเมือกในร่างกายก็จะเริ่มผิดปกติ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น

• ทั้งนี้ผู้ที่ชอบกินหวาน ผิวหนังจะมีสภาพเป็นกรด ที่พร้อมจะให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายอีกด้วย เสี่ยงทำให้เป็นโรคติดเชื้อรุนแรง ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร ในการเจริญเติบโตของเชื้อโรค

ร่างกายขาดความสมดุล เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลเชิงเดี่ยวซึ่งได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในน้ำผลไม้ น้ำตาลในนม จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดเกิดภาวะเป็นกรดมากเกินไป จนร่างกายขาดภาวะสมดุล

ทำให้เกิดส่วนเกินตามร่างกาย ไขมันที่เกิดจากน้ำตาลส่วนเกิน จะถูกสะสมในตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากเกินไปตับจะส่งออกไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา สะโพก เป็นต้น

ผลต่อสมอง การทานน้ำตาลมากเกินไปจะมีผลต่อสมองทำให้รู้สึกง่วง หงาว หาว นอน อยู่ตลอด

เหล่านี้คือผลเสียของการรับประทานของหวาน หรืออาหารประเภทที่มีน้ำตาลที่มากเกินไป แต่ทุกสิ่งในโลกล้วนต้องมีสมดุล การรับประทานอะไรมากเกินไปนั้นไม่ดี แต่ถ้ารับประทานน้อยเกินไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ทานแป้งและน้ำตาลกันเลย เพราะอย่างไร"น้ำตาล" ก็เป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน และทำให้รู้สึกสดชื่น เมื่อกลัวโรคอ้วนก็ควรลดปริมาณน้ำตาลทานของหวานลดน้อยลง โดยไม่ต้องหลีกเลี่ยงไปเลย เพราะจะทำให้รู้สึกหิวและอยากมากขึ้นอีก!! จนทำให้กินหนักและน้ำหนักเพิ่มกว่าเดิม

การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็มีผลทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์

เรารู้กันดีว่าการกินน้ำตาลมากเกินไป ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพได้หลายโรค อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

ล่าสุด ผลงานวิจัยเรื่องหนึ่งระบุว่า การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็ทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากน้ำตาลที่รับประทานเข้าไป จะถูกย่อยเป็นกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสมอง และส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาท ที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนเราให้เกิดความสมดุล

ดังนั้น การกินน้ำตาลน้อยเกินไป จึงส่งผลให้สารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์เสียความสมดุล คนกินน้ำตาลน้อยๆ จึงกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด ไม่มีความอดทน และโมโหง่าย

องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณน้ำตาลที่ควรกินไว้ว่า ไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่เราควรได้รับใน 1 วัน หรือไม่ควรเกิน 4 – 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1,600 – 2,400 กิโลแคลรอลี โดยการกินน้ำตาลที่เหมาะสม ควรเป็นน้ำตาลอ้อย หรือน้ำตาลที่ได้จากแป้งไม่ขัดสี เพื่อร่างกายที่แข็งแรง อ่อนหวานอย่างพอดี

น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)ประโยชน์ของน้ำตาล

- และเมื่อน้ำตาลมีโทษก็ต้องมีประโยชน์บ้าง คือสามารถรักษาโรคท้องร่วงได้ โดยแพทย์ จะนำ"น้ำตาล" ผสมกับเกลือใหรับประทานชื่อฟื้นฟูร่างกายให้ตื่นตัวขึ้น นอกจากนี้ยังนำไปใช้กับแผลใหญ่ที่ติดเชื้อได้ผลมาก จะช่วยระงับการลุกลามของเชื้อและทำให้แผลหายไวขึ้น

- นอกจากจะช่วยให้อาหารมีรสหวานแล้ว น้ำตาลทรายยังใช้ในการถนอมอาหารและหมักอาหารได้อีกด้วย

- ในสิ่งมีชีวิต น้ำตาลทำหน้าที่คือ เป็นสารให้พลังงานที่สำคัญที่สุดแก่เซลล์ และเป็นสารตั้งต้นสำหรับการสังเคราะห์ชีวโมเลกุลต่างๆในเซลล์ ซึ่งเมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป อาหารจะถูกสกัดย่อยด้วยกรดในกระเพาะก่อนจะถูกย่อย และดูดซึมไปเลี้ยงร่างกายโดยลำไส้เล็ก ตรงนี้เองที่น้ำตาลซูโครสในอาหาร จะถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคส และฟรุคโทส ซึ่งจะไหลไปตามหลอดเล็กๆ ผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดไปตามหลอดเส้นเลือดใหญ่ โดยละลายอยู่ในเลือดและไหลกลับมาทางน้ำเหลืองเพื่อเข้าสู่ตับ โดยน้ำตาลบางส่วนจะถูกสะสมไว้ในตับ ในรูปของแป้งสีขาวที่ไม่สามารถละลายได้ แต่เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แป้งส่วนนี้จะสามารถละลายกลายเป็นน้ำตาล เพื่อส่งเข้ากระแสเลือด และหากมีน้ำตาลเหลืออยู่อีก ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเหล่านั้นเป็นไขมัน และเก็บไว้ในชั้นไขมันต่อไป

เมื่อน้ำตาล มีทั้งคุณและโทษ การจะรับประทานน้ำตาลก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป อย่าตามใจปาก เท่านี้น้ำตาลที่ว่ามีภัยมหันต์ ก็กลายเป็นมีคุณอนันต์ได้ รู้แบบนี้แล้วก็ควรคิดให้ดีก่อนทานในมื้อต่อไป ว่าควรจะบริโภคความหวานแต่พอดี ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป สุขภาพจะดีได้ล้วนอยู่ที่ความพอดีจริงๆ
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...