Showing posts with label น้ำมันมะพร้าว. Show all posts
Showing posts with label น้ำมันมะพร้าว. Show all posts

Thursday, December 8, 2011

เคล็ดลับความงาม และประโยชน์ของ "น้ำมันมะพร้าว"

(Health and Beauty benefits of Coconut Oil)

ใครจะรู้ว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ มีประโยชน์ได้มากมายขนาดนี้

"คุณค่า Virgin Coconut Oil น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 100 %"

ปัจจุบันในแวดวงผู้ที่สนใจดูแลรักษาสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ กำลังให้ความสนใจนำน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติในการดูแลรักษาทนุถนอมผิวพรรณแทนการใช้เครื่อง สำอางบำรุงผิวต่างๆแต่น้ำมันมะพร้าวที่จะนำมาใช้ ควรเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ สกัดโดยวิธีธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สี สารอาหารที่สำคัญต่างๆรวมทั้งคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื่น และการต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยทนุถนอมผิวหนังให้เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่นลบรอยแผลเป็น รอยหมองคล้ำ นอกจากจะนำมาใช้ในการทาผิวพรรณ เพื่อปกป้องผิวพรรณจากแสงแดดและภาพแวดล้อมภายนอกแล้ว ยังใช้ลูบไล้เส้นผมช่วยให้ผมเป็นมันวาว และช่วยถนอมหนังศีรษะ

ในทางหลักของอายุรเวทแนะนำให้นวดตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวก็ช่วยปรับสภาพผิวหนัง กระตุ้นการทำงานของระบบหมุนเวียน และระบบประสาท ช่วยคงความอ่อนเยาว์ของผิวหนัง เนื้อเยื่อ และกระดูก แต่น้ำมันที่ใช้ต้องเป็นน้ำมันที่สกัดโดยไม่ใช้ความร้อน และไม่ใช้สารเคมี น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ยังเป็นสารตั้งต้นคุณภาพดีที่ใช้ในการผลิต ครีม โลชั่นบำรุงผิว สบู่ ครีมอาบน้ำ ซึ่งทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีคุณภาพระดับสูง

การผลิตน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะได้มาก็เฉพาะจากการสกัดจากเนื้อมะพร้าวสด ไม่มีการใช้ความร้อน ไม่ใช้สารเคมี (Cold process) จากการทดสอบในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำมันมะพร้าวที่สกัดด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นน้ำมันมะพร้าวที่มีคุณภาพสูงมาก ยังคงมีกรดลอริค (Lauric acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และมีแร่ธาตุสารอาหารในปริมาณสูง น้ำมันยังคงรักษากลิ่น สี และรสชาติของมะพร้าวอยู่ ไม่สูญเสียไปเหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านการทำให้แห้งและกลั่นจากโรงงาน

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กับการบำรุงผิวพรรณ

เป็นเวลานานมาแล้วที่หญิงสาวชาวตะวันออก ในประเทศเขตร้อนที่มีมะพร้าวมากจะใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ดูแลผิวหนัง ปกป้องผิวหนังจากแสงแดด น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่สกัดด้วยวิธีธรรมชาติ จะยังคงรักษาคุณสมบัติสารให้ความชุ่มชื่น และสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยปกป้องและซ่อมแซมผิวหนัง

เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์โดยตรงกับร่างกายได้หลายวิธี เช่น

• ใช้เป็นน้ำมันนวดตัว เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าพร้อมกระชับผิวให้เต่งตึงและนุ่มเนียน
• ให้หมักผมก่อนสระ (หมักทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง) หรือใช้ 1-2 หยด ลูบไล้เส้นผมหลังสระผมช่วยทำให้ผมเป็นเงางามนุ่มสลวย
• ใช้เป็นโลชั่น สามารถใช้เป็นโลชั่นทำความสะอาดเครื่องสำอางบนผิวหน้า ทาผิว ทามือ ทาแขนขา ป้องกันผิวแตกในหน้าหนาว ทาผิวหน้าท้องช่วงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันผิวแตกลาย
• ใช้ทาผิวเมื่อเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง เช่นปรับสภาพผิวที่ถูกแสงแดด
• ทาแผลน้ำร้อนลวก
• แก้โรคผิวหนังต่างๆ แม้แต่เด็กๆก็ใช้ได้

น้ำมันมะพร้าว จะซึมซาบผ่านผิวหนังอย่างรวดเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะใช้ในปริมาณไม่มาก แต่จะคงอยู่ได้นาน ซึ่งจะต่างจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในท้องตลาด ที่ส่วนประกอบส่วนใหญ่มักจะเป็นน้ำ เช่นโลชั่น (Oil in water) ครีมทาผิว (Water in oil) เมื่อเริ่มใช้จะรู้สึกชุ่มชื้นแต่เมื่อน้ำระเหยหมดผิวก็จะกลับแห้งเหมือน เดิม นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ต้องมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่ด้วย แต่มักจะใช้น้ำมันที่ผ่านการกลั่นและความร้อนสูงคุณสมบัติทางธรรมชาติของ น้ำมันในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเหล่านี้จึงหายไป

ลองคุยกับปู่ย่าตายาย ถามท่านว่าตอนหนุ่มๆสาวๆท่านมีเคล็ดลับในการดูแลผิวพรรณอย่างไร ท่านเหล่านั้นใช้น้ำมันมะพร้าวนี่เอง ในปัจจุบันไม่เฉพาะในแวดวงคนรักสุขภาพเท่านั้นในแวดวงความสวยความงามก็หันมา ใช้น้ำมันมะพร้าวในการดูแลผิวพรรณกันมาก ดาราภาพยนตร์สาวๆหลายคนก็เคยออกมาเผยเคล็ดลับนี้

ถึงแม้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะเป็นน้ำมันที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลานานแล้ว แต่น้ำมันมะพร้าวที่สกัดด้วยวิธีแบบธรรมชาติกลับห่างหายไป จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันมะพร้าวมาจากต่างประเทศ น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันจากพืชที่คนไทยใช้อุปโภคมาเป็นเวลานานแล้วใช้ทำ น้ำมันสลัด ทำมายองเนส ใช้ในการทำขนมปังกรอบ ทำนมข้นหวาน ไอศกรีม เป็นต้น น้ำมันมะพร้าวที่ผลิตได้ภายในประเทศแต่ละปียังคงถูกใช้เพื่อการบริโภคถึง ร้อยละ 60 ที่เหลือใช้ในอุตสาหกรรมทำสบู่ ผงซักฟอก แชมพู เครื่องสำอาง อุตสาหกรรมพลาสติก ฟอกหนัง ผ้าใบ และใช้เป็นเชื้อเพลิงจุดตะเกียงให้แสงสว่าง

**หมายเหตุ น้ำมันมะพร้าวจะจับตัวเป็นไขที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสแต่คุณสมบัติต่างๆยังเหมือนเดิม ถ้าจะใช้ทาผิวก็สามารถทาน้ำมันลงบนผิวได้โดยตรงเพราะอุณหภูมิจากร่างกายของ เราจะทำให้น้ำมันมะพร้าวละลายเป็นน้ำมัน แล้วซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังอย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับเท้าสวยด้วยน้ำมันมะพร้าว

แม้ว่าคนยุคนี้จะไม่นิยมเดินด้วยเท้าเปล่า แต่ก็ใช่ว่าเท้าของเราจะไม่ต้องการการถนอมรักษาและการถนอมเท้านั้นสิ่งที่ ช่วยได้มากที่สุดและดีที่สุดก็คือ “น้ำมันมะพร้าว” นั่นเองคนโบราณจึงนิยมนำน้ำมันมะพร้าวเพียงเล็กน้อยมาถูทาเท้าก่อนเข้านอน เพื่อช่วยให้เท้านุ่มเนียนขึ้น เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติในการบำรุงและช่วยให้เกิดความอ่อนนุ่ม

# ตำหรับอายุรเวทบอกไว้ว่า "วิธีรักษาหูด-ตาปลา" มีสูตรดังนี้คือ

- น้ำมันมะพร้าว 1 ถ้วยตวง
- น้ำมันกรบูร 2 ช้อนโต๊ะ
- และน้ำมันสน 1 ช้อนโต๊ะ

กวนให้เข้ากันแล้วเทใส่ขวดแก้วเก็บไว้ใช้ทาลงบนหูด-ตาปลาวันละ 2 ครั้ง

# ส่วนปัญหา “ส้นเท้าแตก” ตำราบอกไว้ว่า

- ให้ใช้น้ำมันมะพร้าว 1/2 ถ้วยตวง
- กลีเซอรีน 1 ช้อนชา
- และน้ำกุหลาบ 2 ช้อนโต๊ะ

มาเทลงในขวดแก้ว แล้วเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกัน และใช้ทาก่อนนอน เมื่อน้ำมันซึมเข้าสู่ผิวสนิทแล้ว ก็ให้สวมถุงเท้าทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อจะทำให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น



credit: http://bannjai.blogspot.com/

Monday, December 5, 2011

เกล็ดความรู้จาก "น้ำมันมะพร้าว"

(Knowledge about Coconut Oil)

1. น้ำมันมะพร้าวเป็นโทษกับร่างกายหรือไม่ ?

วงการแพทย์และนักโภชนาการสมัยใหม่ค้นพบแล้วว่า น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษกับร่างกายเลย อันที่จริงสิ่งที่ให้โทษกับร่างกายคือน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีหรือน้ำมันพืชที่เราใช้ปรุงอาหารอยู่ในปัจจุบัน ดังที่เป็นข่าวในอเมริกาว่า ผู้ดำเนินกิจการอาหารฟาสท์ฟู้ดถูกฟ้องฐานทำให้ผู้บริโภคเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มีกรดไขมันทรานส์มาปรุงอาหาร

ในทางกลับกันน้ำมันมะพร้าวกลับช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง ไม่ทำให้อ้วนเพราะเผาผลาญได้เร็วจึงไม่สะสม และไม่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น และความที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวจึงช่วยควบคุมการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันในร่างกาย ช่วยลดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย

น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษแม้แต่กับเด็กเล็ก เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริค ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในน้ำนมแม่นั่นเอง วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวที่ดีที่สุดคือใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันพืชชนิดอื่นๆในการปรุงอาหาร หรือจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็ได้ ผู้ใหญ่รับประทานวันละ 3-4 ช้อนชา เด็กวันละ 1-2 ช้อนชา โดยเฉลี่ยแบ่งรับประทานทีละน้อยจนครบจำนวนในแต่ละวัน หรือจะผสมในเครื่องดื่มร้อนๆเช่นโกโก้ร้อนหรือน้ำผลไม้อุ่นๆก็ได้ น้ำมะเขือเทศอุ่นผสมน้ำมันมะพร้าวมีรสชาติอร่อยมาก

2. คุณภาพของน้ำมันมะพร้าวที่ดี ดูได้จากอะไรบ้าง?

คุณภาพของน้ำมันมะพร้าว เบื้องต้นดูได้จากมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โรงงานที่ผลิต และน้ำมันมะพร้าว ผ่านการตรวจสอบจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความใสไม่มีสี ปราศจากสารปนเปื้อน มีกลิ่นหอม ได้รับการรับรองและเลขสารบบ อย. บนฉลากขวด
แต่ก็สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ด้วยตนเองง่ายๆ ดังนี้

2.1. ความใส น้ำมันที่สะอาดจะมีความใส ลักษณะโปร่งแสง แต่อาจเปรียบเทียบคุณภาพความใสที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากไม่ได้อยู่ในขวดลักษณะเดียวกัน สีของพลาสติกหรือแก้ว อาจทำให้มีอิทธิพลกับสีได้บ้าง

2.2. กลิ่น ความหอมของน้ำมันมะพร้าว ต้องหอมอ่อนให้ความรู้สึกว่าเป็นน้ำมันสดใหม่ ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว ถึงแม้ว่าจะเปิดใช้แล้วกลิ่นต้องไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังมีผู้ผลิตบางรายดัดแปลงกลิ่น โดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือ กลิ่นมะพร้าวน้ำหอมเข้าไป วิธีนี้จะทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดหรือเปิดใช้ หลังจากนั้นความหอมจะจางลง และเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว และทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน

2.3. ความเบา น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดี จะมีความเบา มีความหนืดน้อยมาก เวลารับประทานจะผ่านลำคอได้ง่ายและเร็ว มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ในขณะที่กลืนลงคอไม่มีกลิ่นรุนแรง ไม่เลี่ยน

2.4. ความซึมเข้าสู่ผิว น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดี จะมีโมเลกุลเล็ก ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว

3. ใช้น้ำมันมะพร้าวทำอาหารแล้วมีกลิ่น / เทคนิคการรับประทานน้ำมันมะพร้าว

กลิ่นของน้ำมันมะพร้าวมีเหตุผล 2 ลักษณะ คือ

1. ความเคยชินของการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่ใช้สารเคมีฟอกสี ฟอกกลิ่นออกจนหมดจึงไม่ได้กลิ่นเวลาทำอาหาร

2. น้ำมันพืชบริสุทธิ์ทุกชนิดจะมีกลิ่นเฉพาะตัว เนื่องจากไม่ได้ใช้สารเคมีใดเข้าไปดัดแปลง น้ำมันมะพร้าวก็เช่นกัน จะมีกลิ่นเฉพาะของน้ำมันมะพร้าว หากผู้บริโภคไม่เคยชิน อาจใส่ใบเตยหรือหอมซอยลงไปในน้ำมันก่อนทอด จะทำให้กลิ่นของน้ำมันมะพร้าวลดลงได้มาก

เทคนิคการับประทานน้ำมันมะพร้าวในรูปแบบต่าง ๆ

1. ใส่ผสมในน้ำผลไม้ (สูตรของ ดร.ณรงค์โฉมเฉลา ใส่ลงในน้ำส้มคั้นรับประทานทุกวัน)
2. ใส่ในแกงจืด อาหารแกงต่างๆ
3. ใช้เป็นน้ำสลัด
4. ราดบนน้ำแข็งใส ไอศกรีม (สูตรนี้เด็กชอบรับประทาน)
5. ใช้ทอดอาหาร อาหารจะไม่ชุ่มน้ำมัน และมีความกรอบได้นาน
6. ใส่ลงไปพร้อมการหุงข้าว จะทำให้ได้ข้าวนุ่ม หอม อร่อย (สูตรพิเศษใส่กระเทียมเล็ก 5-6 กลีบ และใบเตยโรยเกลือนิดหน่อยจะยิ่งทำให้อร่อยมากขึ้น)

4. เวลาน้ำมันมะพร้าวเป็นไข

น้ำมันและไขมันมีความแตกต่างกันอย่างไร น้ำมัน และไขมันมักจะถูกใช้แทนที่กันเสมอ น้ำมันมีสถานะเป็นของเหลว ส่วนไขมันมีสถานะเป็นของแข็ง น้ำมันทุกชนิด สามารถกลายเป็นไขได้ แต่ด้วยอุณหภูมิที่แตกต่างกัน น้ำมันมะพร้าวเป็นไข (แข็งตัว มีลักษณะเป็นครีมขาว) ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25ºc เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันอิ่มตัวสูง จึงเปลี่ยนเป็นไขเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่น ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสภาพเป็นครีมขาว ณ ที่จุดวางขาย หากมีอุณหภูมิเย็น (และจะเปลี่ยนกลับเป็นน้ำมันใสดังเดิมที่อุณหภูมิสูงกว่า 25ºc)

ไขของน้ำมันมะพร้าวไม่ใช่น้ำมันเสีย แต่กลับเป็นสัญลักษณ์ของน้ำมันชนิดดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อคุณซื้อมาจากชั้นวางขาย หรือวางไว้ในห้องแอร์ น้ำมันมะพร้าวอาจเป็นไขได้ คุณเพียงแต่ละลายไขนั้นด้วยการนำออกไปวางในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ หรือวางไว้ในบริเวณที่ใกล้แสงแดด (ไม่ควรตากแดด เพราะหากลืมทิ้งไว้เป็นเวลานาน ความร้อนที่สะสมอาจมีผลกับภาชนะบรรจุ)

ถึงแม้น้ำมันมะพร้าวจะเป็นผลิตผลของพืชเมืองร้อน แต่กลับเป็นที่นิยมของคนที่อยู่ในเขตหนาว การเป็นไขของน้ำมันมะพร้าวจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น ภาชนะที่ใช้ให้เหมาะสมจึงใช้เป็นกระปุกปากกว้าง เพื่อใช้ตักแทนการเท การริน และขณะนี้การสั่งน้ำมันมะพร้าวออกไปขายยังประเทศเหล่านั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการ

5. SHELF LIFE ของน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าวที่ดีจะมี SHELF LIFE (อายุของผลิตภัณฑ์) นานมาก MCFAS (กรดไขมันสายปานกลาง) จะมีคุณสมบัติเป็นสาร ANTIOXIDANTS ทำให้ป้องกันการเสียได้นาน จากผลทดลองในห้อง LAB ของฟิลิปปินส์ น้ำมันมะพร้าวที่บรรจุในกระปุกและเปิดฝาทิ้งไว้ มี SHELF LIFE นานกว่า 5 ปี

แต่ถ้าน้ำมันมะพร้าวมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือ หืนแล้ว ไม่ควรรับประทาน เพราะกลิ่นที่เปลี่ยนไปนี้เกิดจากมีความชื้นเข้าไปรวมตัวกับน้ำมันมะพร้าว เกิดเป็นสารอนุมูลอิสระ

เพราะฉะนั้นศัตรูที่สำคัญที่สุดของน้ำมันมะพร้าว คือความชื้น ขั้นตอนการ DRY OIL คือการกำจัดความชื้นออกจากน้ำมันมะพร้าว เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อต้องการน้ำมันมะพร้าวที่ดี การดมกลิ่นจึงสามารถใช้เป็นมาตรฐานการเลือกซื้อเบื้องต้นได้ และหลังจากเปิดใช้แล้วควรเก็บให้ห่างจากการเปียกน้ำ และความชื้น จะทำให้มีอายุการใช้งานได้นาน

6. ทำไมรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วท้องระบาย และทำไมรับประทานน้ำมันแต่ละยี่ห้อท้องระบายไม่เท่ากัน

ในลำไส้ใหญ่ของเราจะอุดมไปด้วย PROBIOTIC แบคทีเรียชนิดดีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่ควบคุมเชื้อยีสต์ และเชื้อรา (ซึ่งเป็นสาเหตุของลำไส้ใหญ่อักเสบ เชื้อราในช่องคลอด) เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ซึ่งมีมากใน ผัก ผลไม้ PROBIOTIC จะใช้เอนไซม์ช่วยย่อย สิ่งที่ได้หลังการย่อย จะได้เป็นกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) และกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) ในสภาวะที่อุดมไปด้วยกรดไขมันนี้เป็นสภาวะที่เอื้อให้ PROBIOTIC เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การย่อยในลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพสูง จึงขับถ่ายเร็วขึ้น และขับของเสียออกมาอย่างสะดวกสบายท้อง

น้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) จึงมีผลต่อ PROBIOTIC ทันทีที่น้ำมันเดินทางไปถึงลำไส้ใหญ่ ดังนั้นหลังจากรับประทานน้ำมันมะพร้าวไปได้ไม่นาน จะรู้สึกเป็นการกระตุ้นลำไส้ให้ขับถ่าย บวกกับคุณสมบัติความลื่นของไขมันจึงช่วยส่งเสริมให้การขับถ่าย ไหลลื่น สะดวดรวดเร็ว

การขับถ่ายที่สะดวกนี้ไม่เหมือนการขับถ่ายที่เกิดจากการรับประทานอาหารผิดสำแดง ไม่มีโทษใดๆ กับร่างกายไม่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากเสียเกลือแร่ ไม่มีผลอันตรายใดๆ เกิดขึ้นเหมือนเช่นรับประทานยาระบาย เพียงแต่ให้คอยสังเกตว่า ลำไส้ของเรามีความไวต่อเรื่องนี้มากน้อยอย่างไร ปรับจำนวนการรับประทาน และเวลาที่สะดวกในการขับถ่าย ก็จะเหมาะสมและสะดวกขึ้น

นอกจากคุณสมบัติของ MCFAs ที่ช่วยให้การขับถ่ายมีประสิทธิภาพดีแล้ว และหากคุณใช้น้ำมันมะพร้าวพร้อมกันหลายยี่ห้อและให้ผล จำนวนการรับประทานที่แตกต่างกัน เช่นบางยี่ห้อรับประทานเพียง 1 ช้อนโต๊ะ บางยี่ห้อต้องรับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะ จึงจะมีผลในการขับถ่ายเหมือนกัน ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่ามีความแตกต่างกันที่ความสะอาดในการผลิต ยี่ห้อที่รับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะน่าจะมีความสะอาดในการผลิตมากกว่า และควรกลับไปพิจารณาเปรียบเทียบในคุณสมบัติข้ออื่นๆ (จากหัวข้อวิธีดูคุณภาพน้ำมันมะพร้าว ดูได้อย่างไร) หรือสอบถามได้โดยตรงกับผู้ผลิต

7. ทำไมต้องเลือกชนิดน้ำมันสำหรับทอด หรือ ผัด

คุณสมบัติของน้ำมันนั้นขึ้นอยู่กับความอิ่มตัว และความยาวของโมเลกุล น้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูง จะมีคุณสมบัติคงสภาพและทนต่อความร้อนได้ดี เมื่อโดนความร้อน หรือความร้อนสูงที่ใช้ในการทอด โมเลกุลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากไม่ยอมให้ ไฮโดรเจน หรือออกซิเจน เข้าไปจับตัวเพิ่ม (ขบวนการ OXIDATION ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ)

น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว เนื่องจากแขนของโมเลกุลยังมีช่องว่างอยู่ ไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน จึงเข้าไปจับตัวได้ง่าย เกิดการ OXIDATION เกิดเป็นอนุมูลอิสระ และทำให้น้ำมันเสียได้เร็ว

สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเสียมีอยู่ 5 วิธี

1. แสงสว่าง
2. ความร้อน
3. ออกซิเจน
4. ไฮโดรจิเนต (การเติมไฮโดรเจนเข้าไป เพื่อเปลี่ยนจากไขมันไม่อิ่มตัวเป็นอิ่มตัว ไขมันชนิดนี้อันตรายต่อสุขภาพมาก เรียกว่า TRANS FAT)
5. โฮโมจิไนซ์ การทำให้ไขมันแตกตัว

ในขบวนการผลิตน้ำมันผ่านกรรมวิธี โมเลกุลของน้ำมันได้ถูกรบกวนและเกิดเป็นอนุมูลอิสระไปแล้วในระดับหนึ่ง และถ้านำมาใช้ซ้ำอีกขบวนการเกิด TRANS FAT จะเกิดขึ้นได้สูงมาก

ปัจจุบันคนไทยมีความรู้สึกที่ดีมากกับน้ำมันมะกอก (VIRGIN OLIVE OIL) ให้ค่านิยมว่าเป็นน้ำมันสุขภาพ และนำมาใช้ปรุงอาหารทุกชนิดในครัว

ถึงแม้ว่าน้ำมันมะกอกจะมีกรดโอเลอิกที่มีประโยชน์มากต่อร่างกาย แต่กลับมีปริมาณไขมันอิ่มตัวเพียง 14% ปริมาณไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง 77% และปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง 9% ด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้น้ำมันมะกอกไม่มีความคงทนต่อความร้อน จึงควรใช้ประกอบอาหาร เช่น น้ำสลัด หรือ การผัดอาหารที่ใช้น้ำมันไม่มาก และไม่ใช้ความร้อนสูง

ดังนั้นถ้าต้องการทอดอาหารหรือปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนสูง อย่างสบายใจจึงควรใช้น้ำมันที่ผลิตโดยวิธีบีบเย็น (COLD PRESSED) และมีความอิ่มตัวสูงเท่านั้น เนื่องจากมีคุณสมบัติทนต่ออากาศ แสง และความร้อนได้ดี ส่วนน้ำมันพืช COLD PRESSED ชนิดอื่นๆ เมื่อเปิดใช้แล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันการเกิด OXIDATION จากอากาศและแสง



credit: http://www.baanmaha.com/
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...