Showing posts with label วิธีธรรมชาติ. Show all posts
Showing posts with label วิธีธรรมชาติ. Show all posts

Thursday, March 29, 2012

3 วิธีเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวสวย ด้วยวิธีธรรมชาติ (Ways To Boost Natural Collagen In Your Skin)

มาเสริมคอลลาเจนให้ผิวพรรณที่ได้ผล และไม่สิ้นเปลือง ด้วยวิธีธรรมชาติกันเถอะ

คอลลาเจน เปรียบเสมือนกาวธรรมชาติที่ตรึงเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ส่งผลให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์ ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนเสื่อมสภาพลง ผลที่ปรากฏคือผิวหนังหย่อนคล้อย ริ้วรอยถามหานั่นเอง

การเสื่อมสภาพของคอลลาเจนตามธรรมชาตินั้นมักเริ่มต้นที่อายุ 20 ปลายๆ หรือเร็วกว่านั้นถ้าคุณสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือทานแป้งและน้ำตาลในปริมาณมากเป็นประจำ และเมื่อการเสื่อมสภาพเริ่มเห็นชัดมาก หลายๆ คนจึงสรรหาวิธีต่างๆ เพื่อฟื้นฟูคอลลาเจนให้กลับมาดีดังเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมต่างๆ หรือการฉีดคอลาลาเจนคืนสู่ผิว ซึ่งการพยายามฟื้นฟูคอลลาเจนด้วยวิธีการเหล่านี้ก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือต้องเสียเงินเสียทองจำนวนไม่น้อย

ซึ่งสำหรับวันนี้ เราจะของดเรื่องอาหารเสริมกับศัลกรรมแต่งเติมคอลลาเจนไว้ก่อนนะคะ แต่จะมาพูดถึงการเสริมสร้างคอลลาเจนด้วยวิธีธรรมชาติซึ่งคุณสามารถทำได้เองโดยไม่ยาก และไม่เสียเงินทองมากมายเลยค่ะ

1. เสริมสร้างคอลลาเจนจากภายใน

การจะเสริมสร้างคอลลาเจนให้อยู่ยั่งยืนยาวนานที่สุด ก็คงต้องย้อนกลับมาที่พื้นฐานคือการทำให้ร่างกายฟื้นฟูชั้นคอลลาเจนขึ้นมาเอง หัวใจสำคัญก็อยู่ที่อาหารการกินของเรานี่แหละค่ะ เพียงแต่การกินเพื่อเสริมคอลลาเจนนั้นไม่ได้หมายถึงการพึ่งพา “อาหารเสริมคอลลาเจน” อย่างที่เห็นกันอยู่ทั่วไปแต่เพียงอย่างเดียว เพราะคอลลาเจนเหล่านั้นมักมีโมเลกุลขนาดใหญ่ดูดซึมสู่ผิวได้ยาก และส่วนมากก็จะถูกย่อยสลายด้วยน้ำย่อยตามทางเดินอาหารไปหมด อีกทั้งอาหารที่อ้างว่าเสริมคอลลาเจนหลายๆ ชนิดยังมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมอยู่มาก ซึ่งหากทานเยอะๆ จะยิ่งกลับทำลายคอลลาเจนเสียด้วยซ้ำ

ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้อาจดูเหมือนการเสริมสร้างคอลลาเจนจะมีอุปสรรคเยอะเหลือเกิน แต่หากมองดีๆ แล้วไม่ใช่เลย การจะทำให้ผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อยู่เสมอ สิ่งที่ต้องทำก็คือ การทานอาหารที่หลากหลายและมีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ต่างๆ นั่นแหละค่ะ แต่พูดอย่างนั้นอาจจะดูกว้างไป จึงขอคัดอาหารบางอย่างที่เรียกไดว่า “ทานเพื่อเสริมสร้างคอลลาเจน” มาให้แทรกในเมนูอาหารดังนี้ค่ะ

ปลาทะเล

ปลาทะเล จำพวก ปลาแซลมอน ทูน่า หรือในถั่วอัลมอนด์ อะโวคาโด จะมีกรดไขมัน Omega – 3 สูง ทานแล้วจะช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นแจ่มใส ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน คนที่ต้องการให้ผิวพรรณเปล่งปลังใน 1 วันควรมีปลาอย่างน้อย 1 มื้อ หากไม่สะดวกหรือเป็นมังสวิรัตก็ทานเป็นแบบแคปซูลวันละ 1000 มิลลิกรัมก็ได้

กระเทียม

สารซัลเฟอร์ที่มีมากในกระเทียมจะช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังมีสารทอรีน (taurine) และไลปออกเอซิด (lipoid acid) ที่นอกจากจะช่วยในการซ่อมแซมคอลลาเจนที่เสียหายแล้ว ยังช่วยควบคุมระดับคอเรสเตอรอลอีกด้วยค่ะ

การทานกระเทียม 2 – 3 หัวอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ก็จะทำให้คุณได้สารอาหารเหล่านี้ตามต้องการ หากเกลียดกระเทียมก็ทานเป็นอาหารเสริมแบบเม็ดได้ แต่แพงกว่ากันเยอะ ไม่อย่างนั้นก็ทานอย่างอื่นที่มีซัลเฟอร์เหมือนกันเช่น แครอทดิบ แตงกวา แคนตาลูป ก็ได้ เพียงแต่ทนทานกระเทียมบ้างสักเล็กน้อยจะได้ผลดีกว่านะคะ

มะเขือเทศ

เป็นที่รู้กันว่ามะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากมาย แต่สิ่งที่ทำให้มะเขือเทศจัดเป็นอาหารชะลอความแก่ตัวสำคัญ ก็คือสารไลโคปีน (lycopene) ซึ่งจะช่วยยับยั้งเอนไซม์คอลลาจีเนส (Collagenases) ที่จะเข้าไปทำลายชั้นคอลลาเจนนั่นเองค่ะ

มะเขือเทศนั้นจะต่างจากผักชนิดอื่นๆ นิดหน่อย ตรงที่จะให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์กับเราได้มากขึ้นหากผ่านความร้อน ในขณะที่ผักอื่นๆ จะดีที่สุดเมื่อกินแบบดิบ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะกินมะเขือเทศในรูปแบบการต้ม ผัด หรืออยู่ในสลัดผักก็ได้ทั้งนั้น

นอกจากมะเขือเทศแล้ว ผักอื่นๆ ที่ไลโคปีนสูงก็ได้แก่ผักผลไม้ที่มีสีแดงทั้งหลาย เช่น พริก แตงโม สตอรเบอร์รี่ และผลไม้จำพวกเบอร์รี่ทั้งหลาย

กระดูกปลาและกระดูกอ่อนของสัตว์

ในกระดูกปลาทะเล หรือปลาตัวเล็ก และกระดูกไก่ กระดูกหมู ก็เป็นส่วนที่มีคอลลาเจนอยู่เยอะ และมีมากกว่าอาหารจำพวกผัก คุณสามารถทานกระดูกอ่อนเหล่านี้เพื่อเสริมคอลลาเจนด้วย แต่ควรทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงร่วมด้วย เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ค่ะ

2. “วิตามินซี” ห้ามขาด

วิตามินซี เป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ร่างกายสร้างและดูดซึมคอลลาเจนได้ดีขึ้น และเป็นตัวที่ปกป้องไม่ให้คอลลาเจนจากเนื้อสัตว์ หรือคอลลาเจนที่เราบริโภคเข้าไปถูกทำลายก่อนที่ร่างกายจะได้ดูดซึม ดังนั้นหากคุณต้องการการทานอาหารตัวอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างคอลลาเจนให้ได้มากที่สุด ก็ควรทานวิตามินซีร่วมด้วยค่ะ

อาหารที่มีวิตามินซีสูงก็ได้แก่ ผักผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะ ส้ม แอปเปิ้ล มะนาว ผักโขม คะน้า บร็อคโคลี

3. งดพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำลายผิวพรรณ

พฤติกรรมเสี่ยงหลายอย่างก็มีผลต่อความเสื่อมโทรมของผิวพรรณ โดยปกติแล้วชั้นคอลลาเจนจะเริ่มเสื่อมสภาพลงในช่วงอายุ 20 ตอนปลาย แต่ถ้าคุณเริ่มเห็นริ้วรอยและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ หรืออายุสัก 25 ก็แสดงว่าพฤติกรรมของคุณในแต่ละวันมีส่วนเร่งให้ชั้นคอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้นหากต้องการผิวพรรณที่อ่อนเยาว์ดูสดใสอยู่เสมอ ก็ควรปฏิบัติตามนี้ค่ะ
  • งดสูบบุหรี่
  • งดการดื่มแอลกอฮลล์ หากจำเป็นให้ดื่มแต่น้อย
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว
  • ลดการบริโภคน้ำตาล แป้ง ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม (น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน)


credit: http://www.goodlywomen.com/



Thursday, October 6, 2011

อาการอาหารไม่ย่อย แก้ได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

อาการอาหารไม่ย่อย แก้ได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

(Natural Cures for Indigestion)

อาหารไม่ย่อย เกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีแก๊สในระบบย่อย และเกิดกรดเกินในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการจุก เสียด แน่น บริเวณลิ้นปี่ สาเหตุของปัญหาที่พบบ่อยมีดังนี้

• การย่อยทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เกิดจากการรีบเร่งกินอาหาร รีบเคี้ยวรีบกลืน หรือกินอาหารปริมาณมากเกินไป ทำให้เสียเวลาในกระบวนการย่อยนาน เพราะเอนไซม์ในน้ำลายย่อยอาหารไม่ทัน นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งได้น้อยลงอีกด้วย

• ความไวต่ออาหารบางประเภท เช่น อาหารจำพวกแป้งสาลี นม โดยเฉพาะอาหารที่มีเส้นใยมาก เพราะเป็นตัวดูดซับน้ำไว้ เมื่อพองตัวจะทำให้ท้องอืด เกิดอาการจุกแน่น

• การออกกำลังกายเร็วเกินไปหลังกินอาหาร ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะทำให้เลือดที่ควรจะไปเลี้ยงระบบย่อยอาหาร ถูกดึงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแทน ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบย่อยไม่เพียงพอ

• แก๊สในระบบทางเดินอาหารมาก เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและอัดแก๊สบางชนิด หรือการกินผลไม้หลังกินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากไขมันย่อยช้า ผลไม้จึงบูดก่อนที่จะได้ย่อย ทำให้เกิดแก๊สขึ้น

• กรดเกินในกระเพาะ เกิดจากความเครียด มีผลกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารบีบรัดตัว ซึ่งเป็นการสร้างกรดในกระเพาะ นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งมากขึ้น

ปรับนิสัยการกินแก้อาการอาหารไม่ย่อย

ลองปรับนิสัยการกินและเปลี่ยนอาหารบางอย่างดู อาจช่วยให้อาการอึดอัดแน่นท้องที่เป็นบ่อยๆ หายเป็นปลิดทิ้งได้

• ไม่ควรกินอาหารให้อิ่มเกินไป เว้นช่วงมื้ออาหารให้ห่างกันนานกว่า 4 ชั่วโมง ควรกินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

• อย่าดื่มน้ำมากกว่า 1 แก้ว ระหว่างกินอาหาร

• ควรเลิกกินอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรกินในปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่กินได้น้อยหรือแพ้อาหารบางชนิด ให้กินวิตามินและเกลือแร่รวมเสริมได้

• ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรืออัดแก๊ส

นวดกดจุดเท้าบรรเทาอาการ

การกดจุดที่เชื่อว่าสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร โดยช่วยบรรเทาอาการจุก เสียด แน่นได้ วิธีนี้ง่ายแสนง่าย เพราะไม่ต้องตระเตรียมอะไร ขอเพียงความเข้าใจที่ทำให้กดจุดถูกที่ถูกทาง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ผ่อนคลาย สบายท้องได้แล้วค่ะ

1. ใช้หัวแม่มือกดลงบนหลังเท้าตรงร่องเชื่อมนิ้วชี้และนิ้วกลาง บริเวณที่กระดูกมาบรรจบกัน คลึงนาน 2 นาที

2. ใช้หัวแม่มือกดลงบนหลังเท้าตรงเนื้อที่เชื่อมนิ้วชี้และนิ้วกลาง

3. ใช้มือขวาประคองเท้าซ้ายไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดกลางฝ่าเท้า รีดขวางไปตามฝ่าเท้าในแนวเส้นทะแยงมุม

4. กดจุดฝ่ามือ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดรีดตัดไปกลางฝ่ามือซ้ายตามแนวขวาง

หยูกยาจากธรรมชาติ

• นำขิงสด 30 กรัม ชงในน้ำเดือด 500 มิลลิกรัม แช่ไว้ 1 ชั่วโมง แล้วกรองดื่มครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ แก้ท้องอืดและปวดท้อง

• นำตะไคร้แก่สดๆ ทุบพอแหลกประมาณ 1 กำมือ (50-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ แก้อาการแน่นจุกเสียด

• ชงชากะเพรา โดยต้มใบกะเพราและยอดสด 1 กำมือ ประมาณ 25 กรัม ในน้ำเปล่า 1 ลิตร ดื่มแทนน้ำ เพื่อช่วยบำรุงธาตุ ขับลม ลดอาการจุกเสียด ชากะเพรานี้เหมาะสำหรับขับลมในเด็ก

• อาหารรสขมช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมาทำงานได้ดี ลองกินมะกอก หรือชาสมุนไพรรสขมก่อนอาหาร ก็จะไม่มีอาการอึดอัดแน่นท้องตามมา

• ผักผลไม้อย่างมะละกอ แอปเปิล ผักชีลาว มีเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ส่วน กะหล่ำปลี แครอต พาร์สลีย์ และน้ำมันมะกอกชนิดพิเศษ ก็มีสรรพคุณเป็นยาลดกรด ลดการระคายเคือง ควรกินผักผลไม้เหล่านี้พร้อมอาหาร เพื่อช่วยให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพดีขึ้น

รู้จักวิธีธรรมชาติที่จะช่วยคลายอาการอึดอัดท้องกันไปหลากหลายวิธีแล้ว วิธีไหนจะให้ผลชะงัด ต้องลองเอาไปใช้ดูค่ะ


credit: http://www.yourhealthyguide.com/
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...