Showing posts with label สมดุลร่างกาย. Show all posts
Showing posts with label สมดุลร่างกาย. Show all posts

Wednesday, July 20, 2011

น้ำ ดื่มให้พอดีเพื่อร่างกายที่สมดุล (Water for Health Balance)

สมดุลของน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่างที่พอรู้กันมาบ้างแล้ว ว่าร่างกายของเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่รู้หรือเปล่าคะว่าน้ำเหล่านี้ นั้นแทรกซึมอยู่ทุกส่วนของร่างกายทั้งภายในและภายนอกเซลล์ ทั้ง เลือด น้ำเหลือง น้ำย่อย ฯลฯ โดยมี “อิเล็กโทรไลต์” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เกลือแร่” เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม คลอไรด์ ฟอสเฟต และไบคาร์บอเนต ละลายปนอยู่ ทำให้น้ำมีความเข้มข้นและนำพาอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

และแม้อิเล็กโทรไลต์ทุกตัวจะมีความสำคัญ แต่ปริมาณความเข้มข้นของโซเดียม และโพแทสเซียมจะมีอิทธิพลต่อการรักษาสมดุล และถ่ายเทของน้ำในเซลล์และภายนอกเซลล์มากสุด โดยกลไกการเคลื่อนที่ของน้ำในร่างกาย จะไหลจากด้านที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ผ่านเยื่อกั้นผนังเซลล์ไปยังด้านที่มีความเข้มข้นสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น เวลาทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง หรือออกกำลังกาย น้ำภายนอกเซลล์จะกลายเป็นเหงื่อไหลออกนอกผิวหนัง ทำให้ของเหลวนอกเซลล์เข้มข้นขึ้นเพราะน้ำหายไป (แต่ปริมาณโซเดียมยังตกค้างอยู่มาก) สมองส่วนไฮโปทาลามัส จะสั่งให้น้ำในเซลล์ถ่ายเทอออกมาเพื่อปรับสมดุลไม่ให้ น้ำนอกเซลล์เข้มข้นมากเกินไป ในทางตรงกันข้าม หากเราดื่มน้ำมากเกินไป ความเข้มข้นของเหลวภายนอกเซลล์ก็จะลดลง ดังนั้นน้ำจึงไหลกลับเข้าไปในเซลล์ซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่า เป็นต้น

ซึ่งระหว่างที่น้ำทั้งสองส่วนถ่ายเทกันอยู่นี้ สมองจะส่งสัญญาณไปบอกไตให้เลือกเก็บกักน้ำหรือกำจัดออกไป เช่น เมื่อร่างกายขาดน้ำ เลือดจะเข้มข้มขึ้น สมองจะเตือนไตให้รีบดึงน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อไหลเวียนไปเลี้ยง อวัยวะทุกส่วนตามปกติ เราจึงไม่ค่อยปวดปัสสาวะ หรือปัสสาวะน้อยลงและมีสีเหลืองเข้ม แต่ถ้าหากเราได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป สมองจะสั่งให้ไตรีบกำจัดน้ำส่วนเกินทิ้งไป ปริมาณปัสสาวะจึงมากขึ้นและมีสีจางลง

รู้ได้อย่างไรเมื่อน้ำในร่างกายไม่สมดุล

ร่างกายจะแสดงอาการว่าน้ำไม่สมดุลจาก ภาวะขาดน้ำ เกิดจากการที่เราดื่มน้ำน้อยเกินไป แม้ไตจะพยายามเก็บรักษาน้ำในร่างกายให้นานที่สุด เพื่อช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างปกติแล้วก็ตาม แต่เมื่อไตเริ่มรับมือไม่ไหวก็จะส่งสัญญาณแสดงอาการไม่สบายต่างๆ เช่น

  • ปากแห้ง เพราะร่างกายหยุดผลิตน้ำลาย ส่งผลให้กลืนอาหารลำบาก และกระเพาะต้องรับภาระหนักขึ้น เนื่องจากขาดเอนไซม์ในการช่วยย่อยอาหารจำพวกไขมัน แป้งและน้ำตาลจากน้ำลาย
  • ผิวหนังแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย เพราะน้ำถูกดึงไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนอื่นๆ
  • ปวดศรีษะ เมื่อขาดน้ำ เลือดจะหนืดข้นขึ้นปริมาตรเลือดทั้งหมดในร่างกายจึงลดลง หัวใจเลยต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ โดยเพิ่มอัตราการบีบตัวและกระตุ้นเส้นเลือดให้หดตัว เส้นประสาทที่พันรอบเส้นเลือดจึงถูกบีบไปด้วย ส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ และที่ไม่ปวดบริเวณอื่น เพราะศีรษะมีเส้นประสาทจำนวนมาก จึงไวต่อความรู้สึกมากกว่า
  • หงุดหงิด ง่วงซึม ไม่มีแรง เบลอ เป็นอาการสืบเนื่องมาจากการที่เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมอง และกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ เพราะปริมาตรของเลือดลดลงเมื่อขาดน้ำ
  • แผลร้อนใน เมื่อร่างกายขาดน้ำ อุณหภูมิภายในจะเพิ่มสูงขึ้น เนื้อเยื่อภายในช่องปากจึงได้รับผลกระทบ คล้ายกับผิวหนังโดนน้ำร้อนลวกจนเกิดอาการบวมแดง พองเป็นถุงน้ำใสและแตกเป็นแผลในที่สุด
  • ท้องผูก เพราะร่างกายจะดึงน้ำจากทุกระบบ รวมทั้งบริเวณปลายลำไส้ใหญ่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนอื่นที่สำคัญก่อน
  • ความดันเลือดต่ำ เมื่อขาดน้ำแรงดันระบบไหลเวียนโลหิตจะลดลง จึงทำให้รู้สึกหน้ามืด อ่อนเพลีย วิงเวียน
  • ตากลวงลึกและดำคล้ำ เพราะรอบดวงตา โดยเฉพาะใต้ตาของเรามีของเหลวบรรจุอยู่ เมื่อร่างกายเสียน้ำไปมาก บริเวณดังกล่าวก็ได้รับผลกระทบจากการที่ร่างกายดึงน้ำไปใช้เช่นกัน ตาจึงโหลและมีรอยคล้ำ
อย่างไรก็ตามภาวะขาดน้ำ อย่างเดียวนั้นไม่อันตรายถึงชีวิต เพราะร่างกายจะเตือนให้เรากระหายน้ำ หรือเริ่มกระบวนการกักเก็บน้ำโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว


credit: http://www.oknation.net/blog/diamond/2011/04/23/entry-1
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...