Showing posts with label have the flu. Show all posts
Showing posts with label have the flu. Show all posts

Tuesday, January 24, 2012

ทำอย่างไรให้หายเป็นไข้หวัด (How to lose a fever)

หวัดและไข้หวัดใหญ่

แม้มันจะเป็นแค่ "หวัด" แต่ก็สร้างความหงุดหงิดรำคาญให้คุณได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ที่ทำให้คุณรู้สึกป่วยจนทำงานไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณลงมือแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ อาการที่หนักหนาก็จะบรรเทาลง อาวุธที่ใช้สู้กับไข้หวัดมีตั้งแต่สมุนไพร ซุปไก่ ธาตุสังกะสี รวมถึงไดร์เป่าผม ทันทีที่คุณเริ่มจาม ขณะที่ยาแก้หวัดทั่วไปมักทำให้คุณอ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับ และไม่ได้ช่วยให้หวัดหายเร็วขึ้นเลย วิธีเยียวยาต่อไปนี้จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และเร่งให้ไข้หวัดหายเร็วขึ้น

- เมื่อเริ่มมีอาการหวัด ให้อมยาอมสังกะสีชนิดซิงค์กลูโคเนต (zinc gluconate) ทุก 2-3 ชั่วโมง การศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า คนที่อมลูกอมที่มีแร่ธาตุสังกะสีผสมอยู่ 13 มก. ทุก 2 ชั่วโมง จะหายหวัดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้อมลูกอม 3-4 วัน แต่ไม่ควรใช้เกินวันละ 150 มก. และไม่ควรใช้นานเกินสัปดาห์ เพราะการได้รับสังกะสีนานๆ กลับจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อย่าเลือกลูกอมที่มีกรดซิตริกหรือสารให้ความหวานซอร์บิทอล เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของสังกะสีด้วยลง

- ดื่มชาเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ (elderflower) ใส่ดอกเอลเดอร์ฟลาวเวิอร์แห้งราว 2-5 กรัมลงในน้ำเดือด ทิ้งไว้ราว 5-10 นาทีแล้วกรองออก ดื่มชานี้อย่างน้อยวันละ 3 ถ้วย

- เมื่อเริ่มมีอาการจาม ให้สูดผงวิตามินซีเข้าทางจมูก (ผงวิตามินซีหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป) การสูดเอาวิตามินซีเข้าเยื่อเมือกในจมูกโดยตรงเป็นการยับยั้งไวรัสก่อนที่อาการหวัดจะออกฤทธิ์เต็มตัว แต่คุณอาจรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย

- จงรักษาหวัดแต่เนิ่น ๆ เมื่อใดที่สังเกตว่าคุณมีอาการของหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้เริ่มกินวิตามินซี 200 มก. วันละ 5 ครั้งพร้อมอาหาร ควรเลือกชนิดที่เสิรมไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavanoid) เพราะมีการศึกษาพบว่าจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินซีได้มากถึง 35% แต่ถ้ากินแล้วท้องร่วงก็ลมปริมาณลง

- อาวุธต้านไข้หวัดใหญ่ ชาวยุโรปใช้เอลเดอร์เบอร์รี (elderberry) เป็นตัวยาต้านไวรัสกันมานานนับศตวรรษ จึงมีคำแนะนำว่า เมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ ให้กินทิงเจอร์เอลเดอร์เบอร์รี 20-30 หยด วันละ 3-4 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน มีการวิจัยหนึ่งพบว่าคนที่กินเอลเดอร์เบอร์รีจะหายจากไข้หวัดใหญ่เร็วกว่าคนที่ไม่กิน หรือจะเลือกอมลูกอมเอลเดอร์เบอร์รีแทนก็ได้ (ลูกอม 6 เม็ดต่อวันจนกว่าอาการจะหมดไป)

- บรรเทาอาการเจ็บคอ ด้วยการอมน้ำเกลือ ที่ทำจากเกลือ 1 ช้อนชา ละลายในน้ำอุ่น 250 มล. เกลือจะบรรเทาอาการเจ็บคอได้

- ยาแก้เจ็บคอที่ใช้กันมานานาแต่ก็ยังใช้ได้ผล คือน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาว เพราะสภาพกรดในปากจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียและไวรัสได้

- ซุปไก่ต้านหวัด ซุปไก่ร้อนๆ เป็นสุดยอดยาแก้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ พบหลักฐานยืนยันว่าซุปไก่สามารถยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวนิวโตรฟิล (neutrophil) ไม่ให้มารวมตัวกันจนทำให้เกิดการอักเสบ และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเยื่อเมือกเป็นจำนวนมาก ซุปไก่จะทำให้น้ำมูกใสขึ้นได้มากกว่าน้ำร้านเปล่าๆ คุณควรกินซุปไก่ทำเองดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคนที่ห่วยใยทำกับมือ (ดู ซุปสุขภาพนานาชาติ หน้า 108)

- สับกระเทียมสด ๆ ใส่สงในน้ำซุปด้วย ในสมัยโบราณฟาโรห์อียิปต์ทรงใช้กระเทียมฆ่าเชื้อโรค สรรพคุณรักษาโรคของกระเทียมจึงเล่าขานกันมาในตำนาน สารออกฤทธิ์สำคัญในกระเทียมคือ อัลลิซิน (allicin) และอัลลิน (allin) การทดสอบในหลอดทดลองพบว่าสารสองชนิดนี้ฆ่าเชื้อโรคได้ทันที กระเทียมยังช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยเซลล์เพชฌฆาตออกมาฆ่าเชื้อโรค

กระเทียม ตัวยาที่มาพร้อมกลิ่นฉุน การกินกระเทียมซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติจะช่วยกำจัดไวรัสหวัด เคี้ยวกระเทียมสดกลีบใหญ่ ๆ ให้กลิ่นกระเทียมเข้าไปในลำคอและปอด หากกระเทียมเริ่มนิ่มและกลิ่นรุนแรงจนคุณทนไม่ไหว ให้รีบเคี้ยวแล้วกลืนพร้อมกับดื่มน้ำตาม

ถ้าไม่อยากเคี้ยวกระเทียมคุณอาจเลือกกินกระเทียมในแบบแคปซูลก็ได้ กระเทียมสกัดเข้มข้นขนาดแคปซูลปกติมักเป็น 400-600 มก. วิธีใช้คือ กินวันละ 4 ครั้งพร้อมอาหาร ตามมาตรฐานควรมีสารอัลลิซินผสมอยู่ 4,000 ไมโครกรัม ถ้ากินกระเทียมสดแล้วมีอาการอาหารไม่ย่อย มีลมในท้อง หรือท้องเสีย ก็ควรเลือกแบบแคปซูลเพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงดังกล่าว

- อย่าปล่อยให้คอแห้ง ร่างกายที่กำลังต่อสู้กับไข้หวัดมักขาดน้ำ คุณจึงควรดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยต้องดื่มให้ได้ 8 แก้ว (ขนาด 250 มล.) เพื่อให้เยื่อเมือกไม่แห้ง และบรรเทาอาการตาแห้งหรืออาการอื่น ๆ ของไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้น้ำจะช่วยให้น้ำมูกเหลว และสั่งน้ำมูกง่าย

- ควรอยู่ในที่อากาศอบอุ่น มีความชื้น และอากาศถ่ายเทดี เพื่อให้อาการในห้องมีความชื้นทำให้น้ำมูกไหลได้สะดวก วางอ่างใส่น้ำไว้ในห้องหรือเปิดเครื่องทำความชื้น หรือเปิดฝากาต้มน้ำร้อนไฟฟ้าไว้โดยปล่อยให้น้ำเดือดไปเรื่อยๆ ไอน้ำจากกาจะลอยอยู่ในห้อง

- ขิงทำให้จมูกโล่ง คุณสามารถบรรเทาอาการคัดจมูกโดยกินขิงสด แต่ควรกินหลังอาหาร เพื่อไม่ให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้อง

ดื่มน้ำขิง อาจดื่มน้ำขิงสำเร็จรูปหรือทำเองโดยใช้ขิงขูดฝอย 1/2 ช้อนชาใส่ลงในน้ำร้อน ขิงจะช่วยระงับการผลิตสารที่ทำให้หลอดลมตีบตันและคัดจมูก ในขิงมีสารจิงเจอรอล (gingerol) ซึ่งมีฤทธิ์ระงับการไออีกด้วย

- เพิ่มรสชาติเผ็ดจัดจ้านในน้ำซุปที่กิน เช่น เติมพริกป่น ซอสพริก ซอสทาบาสโก หรือวาซาบิลงไป ซุปรสชาติเผ็ดร้อนช่วยบรรเทาอาหารคัดจมูกได้ดีกว่ากินซุปเปล่าๆ แค่เติมอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปก็ช่วยให้คุณหายใจสะดวกขึ้นทันที ถ้ารู้สึกเบื่ออาหารคุณอาจเปลี่ยนมาซดน้ำต้มยำแทนก็ได้ ในต้มยำมีเครื่องเทศหลายชนิดทั้งขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และพริก นอกจากสรรพคุณช่วยรักษาอาการหวัดแล้ว ยังช่วยให้เจริญอาหาร

- สวมถุงเท้าเปียกขณะนอนหลับ ถุงเท้าเปียกเป็นวิธีรักษาโรคตามแนวธรรมชาติที่ช่วยลดไข้ และทำให้หายใจสะดวกขึ้น เพราะเลือดจะถูกดึงไปที่เท้า เป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนโดยอัตโนมัติ (เลือดจะไหลเวียนไม่สะดวกในบริเวณที่เกิดการคั่ง) ก่อนเข้านอนให้แช่เท้าในน้ำค่อนข้างร้อน จากนั้นนำถุงเท้าไปแช่ในน้ำเย็น บิดน้ำออกแล้วนำมาสวม โดยสวมถุงเท้าแห้งทับอีกชั้นก่อนเข้านอน ถึงตอนเช้าถุงเท้าที่เปียกจะแห้ง คุณจะรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่วิธีนี้ควรทำให้ห้องที่มีความร้อนพอสมควร อย่าสวมถุงเท้าเปียกเข้านอนหากอุณหภูมิห้องเย็นเกินไป

- แช่เท้าในน้ำมัสตาร์ด ใส่ผงมัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำร้อน 1 ลิตรในอ่าง หรือกะละมังซักผ้า มัสตาร์ดช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาที่เท้าจึงลดอาการหลอดเลือดตีบตัน

- วิธีเก่าแก่ในการแก้หลอดเลือดคั่งบริเวณทรวงอกคือ การพอกมัสตาร์ดบดเมล็ดมัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ (หรือใช้ผงมัสตาร์ด 1/2 ถ้วย) ผสมแป้ง 1 ถ้วยหรือข้าวโอ๊ตอบกรอบป่นละเอียด คนให้เข้ากันแล้วเติมน้ำลงไปเล็กน้อย ทาปิโตรเลียมเจลลีบนหน้าอกเพื่อปกป้องผิว แล้วนำมัสตาร์ดมาพอก กลิ่นฉุนของมัสตาร์ดจะทำให้โพรงจมูกโล่ง และความร้อนจะช่วยให้เลือดบริเวณอกไหลเวียนสะดวกขึ้น แต่อย่าพวกไว้นานเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ผิวหนังไหม้

- ทำให้ทางเดินหายใจโล่งด้วยการ รินน้ำร้อนลงในชามอ่าง ก้มหน้าลงไปใกล้ ๆ โดยใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหัวไว้ เพื่อทำเป็นกระโจมอบไอน้ำที่กักไอร้อนไว้ภายใน สูดหายใจเอาไอน้ำเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก ทำอย่างนี้ประมาณ 5-10 นาที แต่อย่าก้มหัวให้ชิดน้ำร้อนเกินไป เพราะน้ำอาจลวกใบหน้า หรือไอที่สูดเข้ามาอาจจะร้อนเกินไป คุณควรวางชามหรืออ่างน้ำร้อนไว้บนโต๊ะที่มั่นคง ห้ามวางบนเตียงเป็นอันขาด เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้หากไม่ระวัง

ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิผล ให้เหยาะน้ำมันไทม์ (thyme oil) หรือน้ำมันยูคาลิปตัสปริมาณเล็กน้อยลงในอ่างน้ำร้อนด้วย แต่ตอนที่สูดไอน้ำเข้าไปต้องหลับตาไว้ เพราะไอน้ำที่ผสมกับน้ำมันหอมอาจระคายเคืองตา

- หยดน้ำมันยูคาลิปตัสลงในผ้าเช็ดหน้า เมื่อไหร่ที่รู้สึกหายใจไม่ออกให้หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสูดดม

- อาการคอเคล็ด คนที่เป็นไข้หวัดใหญ่จะรู้สึกคอเคล็ดอย่างรุนแรง เพื่อบรรเทาความปวดให้เอาฟ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ ใส่ในถุงพลาสติก แล้วเอาเข้าเตาอบไมโครเวฟ 60 วินาที หรือแค่จุ่มผ้าขนหนูลงในน้ำร้อนแล้วบิด ระวังอย่าให้ริ้นเกินไป นำผ้าขนหนูมาห่อรอบบริเวณไหล่และลำคอแล้วนอนลง (ควรปูผ้ารองไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เตียงเปียก) ใช้ผ้าขนหนูแห้งพันทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันความร้อนไม่ให้ออกไป

- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำเปล่า โดยเฉพาะหลังใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือในช่วงที่ทำงานร่วมกับคนป่วย ในปี 1998 การศึกษาหนึ่งในสหรัฐฯ ได้สั่งให้ทหารเรือที่เกณฑ์เข้ามา 40,000 นายล้างมือวันละ 5 ครั้ง ผลปรากฎว่าทหารเหล่านั้นมีอัตราการเกิดโรคทางเดินหายใจลดลงถึงร้อยละ 45

- ไม่ควรใช้มือที่ยังไม่ได้ล้างสัมผัสใบหน้าหรือหยิบจับอาหาร ถ้าคุณต้องเดินทางบ่อยๆ อาจพกเจลทำความสะอาดมือขวดเล็ก ๆ ไว้ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้อ่างล้างมือได้

- แม้จะดูว่าเสียมารยาทไปบ้าง แต่คุณควรหลีกเลี่ยงการจับมือกับคนที่กำลังเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่

- ฝึกฝนและใช้เทคนิคการผ่อนคลายเป็นประจำตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงที่หวัดและไข้หวัดใหญ่ระบาด มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าความเครียดทำให้คนเราป่วยง่ายขึ้น

- พักผ่อนให้เพียงพอ คนส่วนใหญ่ เป็นหวัดหรือไข้หวัดในช่วงที่โหมงานหนักจนไม่ค่อยได้หลับได้นอน ดังนั้นควรลางานและพักผ่อนให้เพียงพอ มีการศึกษาพบว่าถึงแม้จะขาดนอนไปเพียงนิดเดียว การต้านไวรัสจะลดลงอย่างมาก ในการศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า คนที่นอนน้อยลงกว่าที่ควรเพียงคืนเดียว จะทำให้ร่างกายมีเซลล์คุ้มกันชนิดที่คอยควบคุมการติดเชื้อไวรัส ลดลงถึงร้อยละ 30



credit: http://www.facebook.com

Wednesday, November 30, 2011

กินอะไรดี? เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่

“อาหารคือยา” นับเป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความเชื่อในพลังแห่งการเยียวยาของอาหาร คนสมัยโบราณจึงกินอาหารตามฤดูกาล เพราะเชื่อว่าเหมาะกับสภาพร่างกายในช่วงนั้น เช่น กินแตงโมในหน้าร้อน เพื่อเติมน้ำให้กับร่างกาย และไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อยมาก หรือกินซุปร้อนๆ ในหน้าหนาว เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น แล้วสำหรับหน้าฝนซึ่งไข้หวัดมักถามหาอย่างเช่นตอนนี้ เราควรจะกินอะไรกันดี ร่างกายจึงจะแข็งแรง ปลอดหวัด



กินอะไรดี เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
(What to Eat When You Have the Flu)



รู้จักประโยชน์ของสารอาหาร
สารอาหารเป็นส่วนประกอบพิเศษของอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ร่างกายเติบโต และแข็งแรง สารอาหารประกอบด้วยวิตามิน เกลือแร่ กรดไขมัน กรดอะมิโน และน้ำ รวมถึงแหล่งของพลังงาน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน สารอาหารบางอย่างร่างกายสร้างเองได้ แต่ก็มีสารอาหารอีกหลายชนิดที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ด้วยเหตุนี้การขาดสารจึงนำไปสู่การเจ็บป่วยได้

โปรตีน อาหารพื้นฐานสำคัญ
ไม่ว่าคุณจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ก็ตาม โปรตีนจัดเป็นสารอาหารจำเป็นที่จะช่วยรักษาและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเนื้อแดงที่ไม่มีไขมัน เนื้อสัตว์ปีก ปลา พืชตระกูลถั่ว ผลิตภัณฑ์นม ไข่ และถั่วต่างๆ ถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี สำหรับปริมาณโปรตีนที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน คือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ผู้หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรต้องการโปรตีนมากขึ้นอีก 6 กรัมต่อวัน

นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง จะทำให้เราได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ อย่างเช่นวิตามินบี6 และวิตามินบี 12 ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง โดยวิตามินบี 6 จะอยู่ในอาหารโปรตีนจำพวกถั่ว เนื้อวัว รวมถึงยังพบในมันฝรั่ง มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ธัญพืช (เช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าว) ส่วนวิตามินบี 12 มีในเนื้อแดง ตับ นม ปลา เต้าเจี้ยว น้ำปลา กะปิ

ซีลีเนียม (selenium) และสังกะสี ก็เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยรักษาระบบภูมิคุ้นกันให้แข็งแรงด้วย โดยอาหารโปรตีนที่มีแร่ธาตุทั้ง 2 ชนิด ได้แก่ ถั่ว เนื้อวัว และสัตว์ปีก

ฟลาโวนอยด์เสริมภูมิต้านทาน
สารฟลาโวนอยด์เป็นหนึ่งในสารอีก 4,000 ชนิดที่ทำให้ผักและผลไม้มีสีต่างๆ โดยมีการค้นพบว่าสารฟลาโวนอยด์ที่พบในรกส้ม (เยื่อขาวๆ ที่กลีบส้ม) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และยังเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบฟลาโวนอยด์ในมะนาวอีกด้วย

สารอาหารที่ช่วยต่อต้านการติดเชื้อ
สารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อ คือกลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งมีมากในเนื้อแตงโม และยังพบในพืชตระกูลผักกาด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี บรอคโคลี

อาหารที่ควรกินและหลีกเลี่ยงเมื่อมีน้ำมูก
สำหรับบางคน ผลิตภัณฑ์นมจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมูกมากขึ้น ถ้าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมสัก 2-3 วัน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นมอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนหนักขึ้นได้

ขณะที่น้ำส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำส้มที่มีเนื้อส้มด้วยจะอุดมด้วยวิตามินซีและกรดโฟลิก ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นักวิจัยบางคนจึงแนะนำว่า วิตามินซี น่าจะมีส่วนช่วยลดเวลาป่วยจากหวัดและไข้หวัดใหญ่

อาหารและเครื่องดื่มเมื่อมีอาการคลื่นไส้
วิธีที่ดีที่สุด เมื่อคุณรู้สึกคลื่นไส้ หรืออาเจียนตอนเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ คืองดการกินอาหาร แต่ควรจิบน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ รวมถึงควรจะดื่มเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้ น้ำซุปผัก น้ำขิง เครื่องดื่มเกลือแร่ โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ เช่น ครั้งละ 1 แก้ว (120-240 ซีซี) สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 30 ซีซี (หรือน้อยกว่า) สำหรับเด็ก

นอกจากนี้การดื่มชา(ที่ปราศจากกาเฟอีน)ผสมกับน้ำผึ้ง ก็จะช่วยเคลือบลำคอและบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดี จำไว้ว่าเครื่องดื่มอุ่นๆ จะช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งมากกว่าการดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ และหากกระเพาะอาหารของคุณทำงานได้ดีขึ้นก็ควรลองรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีรสจืด เช่น กล้วย ข้าวต้มอ่อนๆ เพื่อทำให้ระบบการย่อยอาหารกลับมาทำงานได้ตามปกติ และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร

ซุปไก่ช่วยแก้หวัดได้เหมือนกัน
วารสาร Chest ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยที่ยืนยันว่า ซุปไก่มีผลช่วยในการต่อต้านการติดเชื้ออย่างอ่อนๆ ได้ จึงช่วยลดการติดเชื้อบริเวณระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ จมูก คอหอย กล่องเสียง ฉะนั้นเมื่อคนในบ้านเป็นหวัด คุณแม่อาจจะลงมือเคี่ยวน้ำซุปให้กินอุ่นๆ ก็น่าจะช่วยได้เยอะทีเดียว

ที่สำคัญเมื่อฟื้นไข้แล้ว ก็อย่าลืมรับประทานอาหารที่หลากหลาย อุดมไปด้วยผักผลไม้หลากสีสัน รวมถึงพืชตระกูลถั่วที่อุดมไปด้วยสารพฤกษเคมี เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ที่สำคัญควรเข้านอนแต่หัวค่ำ และนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง เพื่อที่สุขภาพจะได้กลับมาแข็งแรงดังเดิม

ถ้าออกกำลังกายได้อีกอย่างก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณปลอดภัยจากหวัดได้มากขึ้น



credit: http://www.healthtoday.net
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...