Saturday, October 8, 2011

8 อาหารทำให้ "ง่วงนอนตลอดเวลา"

(Foods make you tired & sleepy)

คุณเคยส่งสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอดเวลาไม่ว่าจะ ทำอะไรก็ตาม นั้นคุณลองสังเกตุตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตุของการง่วงนอนตลอด เวลาบ้างรึเปล่าค่ะ

8 FOODS THAT MAKE YOU ALWAYS FEEL SLEEPY:

8 อาหารทำให้ "ง่วงนอนตลอดเวลา"

1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา

2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข

4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกาย ก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมาก เมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น

5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงเหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามากจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง

8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา


5 FOODS THAT MAKE YOU TIRED:

1.) ANYTHING HIGH IN SUGAR.
When you’re tired half way through the day, don’t eat a candy bar. Sugar gives you a quick jolt of energy, but your body metabolizes it instantly. And once it does, you feel even MORE tired.


2.) ANYTHING HIGH IN FAT.
It’s kind of the opposite of sugar. Eating a steak DOES give you energy, but it doesn’t give you much of an energy BOOST because it takes your body a long time to metabolize all the fat in red meat.

–Fish and chicken are better if you’re feeling tired.


3.) ANYTHING WITH TRYPTOPHAN.
When you hear the word tryptophan, the first thing you think of is Thanksgiving turkey. But a lot of people forget that even a turkey SANDWICH has tryptophan in it.

–And so do a lot of other foods. The most common are: milk, corn, and brown rice.


4.) TOO MUCH CAFFEINE.
It makes you tired because it interferes with your sleep. Caffeine can make it tough to fall asleep even if you drink a cup of coffee 12 HOURS before bed.

–And even when you DO fall asleep, too much caffeine makes you tired the next day because it screws with your REM sleep.


5.) BOOZE.
Alcohol slows down your central nervous system and acts like a sedative. And if you’re running low on sleep already, even ONE BEER can make your energy level nose-dive.



credit:
http://campus.sanook.com/
http://blogs.1037kissfm.com/

Thursday, October 6, 2011

อาการอาหารไม่ย่อย แก้ได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

อาการอาหารไม่ย่อย แก้ได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

(Natural Cures for Indigestion)

อาหารไม่ย่อย เกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีแก๊สในระบบย่อย และเกิดกรดเกินในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการจุก เสียด แน่น บริเวณลิ้นปี่ สาเหตุของปัญหาที่พบบ่อยมีดังนี้

• การย่อยทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เกิดจากการรีบเร่งกินอาหาร รีบเคี้ยวรีบกลืน หรือกินอาหารปริมาณมากเกินไป ทำให้เสียเวลาในกระบวนการย่อยนาน เพราะเอนไซม์ในน้ำลายย่อยอาหารไม่ทัน นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งได้น้อยลงอีกด้วย

• ความไวต่ออาหารบางประเภท เช่น อาหารจำพวกแป้งสาลี นม โดยเฉพาะอาหารที่มีเส้นใยมาก เพราะเป็นตัวดูดซับน้ำไว้ เมื่อพองตัวจะทำให้ท้องอืด เกิดอาการจุกแน่น

• การออกกำลังกายเร็วเกินไปหลังกินอาหาร ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะทำให้เลือดที่ควรจะไปเลี้ยงระบบย่อยอาหาร ถูกดึงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแทน ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบย่อยไม่เพียงพอ

• แก๊สในระบบทางเดินอาหารมาก เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและอัดแก๊สบางชนิด หรือการกินผลไม้หลังกินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากไขมันย่อยช้า ผลไม้จึงบูดก่อนที่จะได้ย่อย ทำให้เกิดแก๊สขึ้น

• กรดเกินในกระเพาะ เกิดจากความเครียด มีผลกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารบีบรัดตัว ซึ่งเป็นการสร้างกรดในกระเพาะ นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งมากขึ้น

ปรับนิสัยการกินแก้อาการอาหารไม่ย่อย

ลองปรับนิสัยการกินและเปลี่ยนอาหารบางอย่างดู อาจช่วยให้อาการอึดอัดแน่นท้องที่เป็นบ่อยๆ หายเป็นปลิดทิ้งได้

• ไม่ควรกินอาหารให้อิ่มเกินไป เว้นช่วงมื้ออาหารให้ห่างกันนานกว่า 4 ชั่วโมง ควรกินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

• อย่าดื่มน้ำมากกว่า 1 แก้ว ระหว่างกินอาหาร

• ควรเลิกกินอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรกินในปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่กินได้น้อยหรือแพ้อาหารบางชนิด ให้กินวิตามินและเกลือแร่รวมเสริมได้

• ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรืออัดแก๊ส

นวดกดจุดเท้าบรรเทาอาการ

การกดจุดที่เชื่อว่าสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร โดยช่วยบรรเทาอาการจุก เสียด แน่นได้ วิธีนี้ง่ายแสนง่าย เพราะไม่ต้องตระเตรียมอะไร ขอเพียงความเข้าใจที่ทำให้กดจุดถูกที่ถูกทาง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ผ่อนคลาย สบายท้องได้แล้วค่ะ

1. ใช้หัวแม่มือกดลงบนหลังเท้าตรงร่องเชื่อมนิ้วชี้และนิ้วกลาง บริเวณที่กระดูกมาบรรจบกัน คลึงนาน 2 นาที

2. ใช้หัวแม่มือกดลงบนหลังเท้าตรงเนื้อที่เชื่อมนิ้วชี้และนิ้วกลาง

3. ใช้มือขวาประคองเท้าซ้ายไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดกลางฝ่าเท้า รีดขวางไปตามฝ่าเท้าในแนวเส้นทะแยงมุม

4. กดจุดฝ่ามือ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดรีดตัดไปกลางฝ่ามือซ้ายตามแนวขวาง

หยูกยาจากธรรมชาติ

• นำขิงสด 30 กรัม ชงในน้ำเดือด 500 มิลลิกรัม แช่ไว้ 1 ชั่วโมง แล้วกรองดื่มครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ แก้ท้องอืดและปวดท้อง

• นำตะไคร้แก่สดๆ ทุบพอแหลกประมาณ 1 กำมือ (50-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ แก้อาการแน่นจุกเสียด

• ชงชากะเพรา โดยต้มใบกะเพราและยอดสด 1 กำมือ ประมาณ 25 กรัม ในน้ำเปล่า 1 ลิตร ดื่มแทนน้ำ เพื่อช่วยบำรุงธาตุ ขับลม ลดอาการจุกเสียด ชากะเพรานี้เหมาะสำหรับขับลมในเด็ก

• อาหารรสขมช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมาทำงานได้ดี ลองกินมะกอก หรือชาสมุนไพรรสขมก่อนอาหาร ก็จะไม่มีอาการอึดอัดแน่นท้องตามมา

• ผักผลไม้อย่างมะละกอ แอปเปิล ผักชีลาว มีเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ส่วน กะหล่ำปลี แครอต พาร์สลีย์ และน้ำมันมะกอกชนิดพิเศษ ก็มีสรรพคุณเป็นยาลดกรด ลดการระคายเคือง ควรกินผักผลไม้เหล่านี้พร้อมอาหาร เพื่อช่วยให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพดีขึ้น

รู้จักวิธีธรรมชาติที่จะช่วยคลายอาการอึดอัดท้องกันไปหลากหลายวิธีแล้ว วิธีไหนจะให้ผลชะงัด ต้องลองเอาไปใช้ดูค่ะ


credit: http://www.yourhealthyguide.com/

Sunday, October 2, 2011

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำอัดลมเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยม ที่หลายๆ คนเลือกเป็นตัวเลือกแรกเมื่อกระหาย ลองคิดถึงความรู้สึกเหนื่อยๆ ร้อนๆ แล้วได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ สักขวด รู้สึกว่าดื่มแล้วจะมีเรี่ยวแรง ใครที่ออกกำลังกายมา ดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อย อิ่มเลยก็มี บางคนถึงกับไม่ต้องทานอาหารมื้อนั้นเลยก็เป็นได้ แต่รู้หรือไม่ว่า องค์ประกอบของน้ำอัดลมนั้นมีอะไรบ้าง ทำไมดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเช่นนั้น

ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมรสไหน ชนิดไหนก็มีองค์ประกอบหลักเหมือนกัน คือ น้ำ, น้ำตาล, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก, คาเฟอีน, สีและกลิ่นหรือรส รวมถึงสารกันบูด เมื่อเราทราบถึงองค์ประกอบของมันแล้ว เรามาวิเคราะห์กันดีกว่าว่าสารเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีประโยชน์หรือเป็นโทษอย่างไร มีผลกระทบต่อร่างกายเราอย่างไร

เริ่มจากองค์ประกอบแรกและเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของน้ำอัดลม คือ น้ำ ร่างกายเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 60-70% นอกจากน้ำจะทำให้เราสดชื่นแล้ว น้ำยังเป็นตัวรักษาสมดุลต่างๆ ให้กับร่างกาย เช่น ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิคงที่ เพราะน้ำมีความจุความร้อนมาก ช่วยละลายสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ทำให้เซลล์ต่างๆ ดูดซึมสารอาหารและนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยในระบบขับถ่าย และเจือจางสารพิษที่ร่างกายได้รับอีกด้วย แต่น้ำไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกายแต่อย่างใด

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)น้ำตาล เป็นสารอาหารชนิดเดียวที่อยู่ในขวดน้ำอัดลม เพราะเป็นสารที่ให้ความหวานและพลังงาน น้ำตาลที่ใช้ในน้ำอัดลมคือ ซูโครส (น้ำตาลทราย) เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตซึ่งจะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อกรัม ถ้าดูจากข้างขวดก็จะพบว่าในทุกๆ 100 มิลลิลิตร จะประกอบด้วยน้ำตาลประมาณ 10.6 กรัม (ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำอัดลม) ประมาณ 42.4 กิโลแคลอรี ถ้าเราดื่มน้ำอัดลม 1 ลิตร จะให้พลังงาน 424 กิโลแคลอรี ขณะที่โดยปกติร่างกายต้องการพลังงานวันละประมาณ 2000-2500 กิโลแคลอรี จึงทำให้เรารู้สึกอิ่มและสดชื่น การที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่าที่ร่างกายต้องการ อินซูลินจะทำงานหนักเพื่อที่จะเก็บน้ำตาลที่มากเกินพอในกระแสเลือดนั้นในรูป ของไกลโคเจนและไขมันใต้ผิวหนัง เป็นเหตุให้เรามีน้ำหนักมากขึ้นและอ้วนขึ้นนั่นเอง (ถ้าได้รับพลังงานมากกว่าที่ร่างกายต้องการ 7700 กิโลแคลอรี ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม) นอกจากนี้การบริโภคน้ำอัดลมมาก จะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารได้น้อยลง อาจเป็นเหตุให้ขาดสมดุลทางโภชนาการ

น้ำตาลที่สูงมากในน้ำอัดลมทุกขวด เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับเราในเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินปกติ เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋องหรือขวด มีน้ำตาลสูงเทียบเท่าน้ำตาลทราย 15-20 ช้อนชา เรียกว่าเราได้พลังงานมหาศาลถึง 300-400 แคลอรี่ หากใช้ไม่หมดมันก็จะสะสมเป็นชั้นไขมันในพุง หรือในต้นขาของเรา

การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และบ่อย ๆ ไม่เป็นผลดีต่อระบบภายในร่างกาย เมื่อน้ำตาลสูงร่างกายก็ต้องพึ่งฮอร์โมนอินซูลินในการลดน้ำตาลในเลือด ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนัก ก็อาจเกิดความเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ก็เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน จากเบาหวานก็จะมีอีกสารพัดโรคที่ตามมา อาทิ ความดันสูง หลอดเลือดตีบ โรคหัวใจ

ส่วนผู้ที่กังวลเรื่องความอ้วน มักหลีกเลี่ยงไปดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาล เช่น Light, Zero หรือ Diet นั้น จะใช้สาร (เคมี) ให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งจะให้ความหวานแต่ไม่ให้พลังงาน อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะสารให้ความหวานบางชนิดจะเป็นพิษต่อร่างกายหรือเป็นสารก่อมะเร็ง สารให้ความหวานที่ใช้อยู่ปัจจุบันนั้นยังได้รับอนุญาตให้ใช้อยู่ เพราะปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าสารนั้นเป็นพิษต่อร่างกาย แต่ในอนาคตอาจพบว่าเป็นสารพิษเหมือนในอดีตที่เปลี่ยนสารให้ความหวานอยู่เสมอ เพราะพบว่าเป็นพิษ ก็เป็นได้

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเท็กซัสกว่า 8 ปีต่อเนื่อง ได้มีข้อสรุปว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาล และใส่สารทดแทนความหวาน จะมีโอกาสน้ำหนักเกินกว่ากลุ่มปกติการศึกษาชี้ถึงความเสี่ยงที่จะอ้วนสูงถึง 41% สำหรับทุก ๆ ขวดที่ดื่มเข้าไป สาเหตุที่การดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล กลับมีโทษต่อร่างกายมากกว่า เพราะสารทดแทนความหวานสร้างปฏิกิริยาทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเก็บกักไขมันมากกว่าปกติ มากกว่าการเก็บจากภาวะที่เราได้จากน้ำตาลธรรมชาติ และเกิดความประมาทของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่ม ที่คิดว่าไม่มีน้ำตาลจึงไม่กังวลเรื่องน้ำหนักตัว ทำให้เผลอใจกินอย่างไม่ระมัดระวัง กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้วนเสียแล้ว

น้ำอัดลม เครื่องดื่มซ่าที่น่ากลัว (Dangers of soft drinks)กรดคาร์บอนิก เป็นองค์ประกอบที่ทำให้น้ำอัดลมซ่า มีฟอง และมีรสเปรี้ยวอ่อนๆ กรดคาร์บอนิกนั้น ได้จากปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้ความดันสูงบังคับ (อัด) ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำให้ได้ เพราะในสภาวะความดันปกติคาร์บอนไดออกไซด์แทบจะไม่ละลายน้ำ หรือทำปฏิกิริยากับน้ำเลย แต่กรดคาร์บอนิกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เสถียร คือสลายตัวได้ง่ายในสภาวะความดันปกติ ยิ่งถ้ามีความร้อนด้วยจะยิ่งเร่งการสลายตัวให้เร็วยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายตัวของกรดคาร์บอนิกก็คือน้ำกับคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นเอง ดังนั้นจึงต้องเก็บน้ำอัดลมภายใต้ความดัน ก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า “น้ำอัดลม” เมื่อเปิดขวดออก ความดันสูงในขวดก็จะลดลงเท่ากับความดันปกติ จึงทำให้กรดคาร์บอนิกสลายตัวออกมา ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดฟองนั่นเอง กรดคาร์บอนิกยังสามารถย่อยสลายหินปูนได้ จึงสามารถกัดกร่อนกระดูกและฟันได้เช่นกัน

เช่นเดียวกับ กรดฟอสฟอริก ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะ ละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน นอกจากจะทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแล้ว ยังทำให้นอนหลับยาก ฟันผุ อาจทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากฟอสเฟสไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน

คาเฟอีน เป็นสารที่มีกลิ่นหอมและพบมากในชา กาแฟ เป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงลง เมื่อได้รับคาเฟอีน ร่างกายจะมีความต้องการคาเฟอีนมากขึ้น และถ้าหยุดบริโภคคาเฟอีนอย่างทันที อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนได้ การบริโภคคาเฟอีนมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดคาเฟอีนได้ ซึ่งจะปรากฏอาการต่างๆ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น หรือแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ เด็กที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะทำให้มีรูปแบบการนอนที่ผิดแผกไปจากเดิม เด็กเหล่านี้จะนอนไม่หลับในเวลากลางคืน และง่วงนอนในเวลากลางวัน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ลดลง

สารกันบูดหรือวัตถุกันเสีย ใส่เพื่อให้สามารถเก็บน้ำอัดลมได้นาน ในน้ำอัดลมนิยมใช้ กรดซิตริก (เป็นกรดที่อยู่ในมะนาว) สามารถป้องกันการเจริญของแบคทีเรียและยีสต์ได้ดี แต่เป็นกรดค่อนข้างแรง จะทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร ส่วนสี กลิ่นและรส เป็นสารเคมีสังเคราะห์ทั้งสิ้น สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าได้รับมากเกินไปก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้น

แนวทางในการดื่มน้ำอัดลมที่ถูกต้อง
  • ไม่ดื่มในปริมาณมาก
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลมระหว่างมื้ออาหารหลัก หรือดื่มในปริมาณน้อย
  • หลังดื่มน้ำอัดลม ควรบ้วนปากหรือแปรงฟันเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ
  • ไม่ควรดื่มบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ อาจทำให้กระเพาะเกิดแผลได้
เมื่อทราบแล้วว่าน้ำอัดลมประกอบด้วยอะไรบ้างแล้ว เราก็พอจะประเมินได้ว่า น้ำอัดลมมีประโยชน์และมีโทษต่อร่างกายเราอย่างไร การดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่เหมาะสมและถูกวิธี ก็สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับร่างกายได้


credit: http://blog.eduzones.com/
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...