Friday, August 9, 2013

อาหารเพิ่มน้ำนม สำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร

อาหารเพิ่มน้ำนม 
สำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร 

(Foods that help increase breast-milk for new Moms)

ผัก สมุนไพร พื้นบ้านของไทยเป็นอาหารเพิ่มน้ำนม สำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตรได้ดีเป็นอย่างยิ่ง อาหารที่เชื่อว่ามีสรรพคุณในการเพิ่มน้ำนมนั้น เป็นอาหารที่มีรสร้อน เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายอบอุ่น เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้น้ำนมมากขึ้น มีดังนี้ค่ะ





หัวปลี

คุณค่า : อุดมไปด้วยแคลเซียม (มากกว่ากล้วยสุกถึง 4 เท่า) โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เบต้าแคโรทีน

สรรพคุณ : แก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน บำรุงเลือด ตั้งแต่โบราณสอนกันต่อๆมาว่าผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ ให้รับประทานหัวปลีมากๆ จะได้มีน้ำนมให้เลี้ยงลูกนานๆ

อาหารแนะนำ : แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลี ลวกจิ้วน้ำพริก (เวลาลวกให้ใส่เกลือและน้ำตาลลงในน้ำที่ตุ้มด้วย จะได้ลดความฝาด) ทอดมันหัวปลี หัวปลีชุบแป้งทอด

ใบกระเพรา

คุณค่า : มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส เส้นใย อาหารสูง

สรรพคุณ : แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หวัด คลื่นไส้ อาเจียน ลดอาการปวดข้อ ปวดเข่า ลดเบาหวาน ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น

อาหารแนะนำ : ใส่แกงเลียง ผัดกระเพรา แกงป่าหรือผัดเผ็ดต่างๆ เพราะในใบกระเพรามีกลิ่นหอมช่วยดับกลิ่นและรสคาวของเนื้อสัตว์ได้ดีใบกระเพราที่ต้องซื้อ รสเผ้ดร้อน หรือคุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยอาจจะลดน้อยลง เนื่องมาจากสถานที่ปลูก และปัจจุบันมีการใส่ปุ๋ยเร่งกันมากขึ้นลองสังเกตดูว่าคความฉุนของใบลดน้อยลงมาก



กุยช่าย

คุณค่า : แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโนทีน วิตามินซี

สรรพคุณ : แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม

อาหารแนะนำ : นำส่วนดอกมาผัดกับเนื้อสัตว์ หรือนำใบมากินสดแกล้มกับอาหารอื่นๆแต่ที่นิยมคือ ใส่ผัดไท


กานพลู

คุณค่า : น้ำมันที่อยู่ในดอกกานพลู มีส่วนประกอบสำคัญคือ Eugenol ที่มีฤทธิ์ต่อร่างกาย

สรรพคุณ : มีฤทธิ์ช่วยขับน้ำดีเพื่อนำไปย่อยอาหาร ลดอาการบีบตัวของลำไส้บรรเทาอาการแน่น จุกเสียด ลดความเป็นกรดในลำไส้ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร

อาหารแนะนำ : นำดอกตูมแห้งมา 5 – 8 ดอก ชงในน้ำเดือด แล้วดื่มแต่น้ำ


มะละกอ

คุณค่า : มีธาตุเหล็กและแคลเซียมสูง ฟอสฟอรัส วิตามินเอ บี ซี และมีเอนไซม์ ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แก่ ร่างกาย รวมถึงมีเส้นใยอาหารมาก

สรรพคุณ : บำรุงเลือด บำรุงกระดูก สายตา ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด

อาหารแนะนำ : รับประทานผลไม้สุกเป็นผลไม้ หรือถ้าแบบดิบ มักจะนำมาใส่แกงส้ม ส้มตำ


ฟักทอง

คุณค่า : ฟักทองมีสารอาหารสำคัญเพื่อบำรุงร่างกายเยอะมาก ทั้งวิตามินเอ บี ซี ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน

สรรพคุณ : ช่วยเสริมสร้างคลอลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณสดใส และอาจจะช่วยให้หน้าท้องลายน้อยลง

อาหารแนะนำ : ฟักทองผัดไข่ แกงเลียง ฟักทองนึ่ง แกงบวดฟักทอง ไข่เจียวฟักทอง


ขิง

คุณค่า : มีโปรตีน ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ บี1 บี2 คาร์โบไฮเดรต

สรรพคุณ : ขับลม แก้อาเจียน ช่วยย่อยไขมันได้ดี ลดการบีบตัวของลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ขับเหงื่อ เพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดอาการอาเจียน และเชื่อว่าเมื่อคุณแม่รับประทานเข้าไป สรรพคุณที่ดีของขิงจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูก ทำให้ลูกไม่ปวดท้อง

อาหารแนะนำ : ยำขิง ยำปลาทูใส่ขิง ไก่ผัดขิง มันหรือถั่วเขียวต้มน้ำขิง ไข่หวานน้ำขิงต้มอุ่นๆ โจ๊กใส่ขิง


ใบแมงลัก

คุณค่า : มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี และวิตามินซีสูง

สรรพคุณ : ใบแมงลักมีรสหอมร้อน ขับลม ขับเหงื่อ

อาหารแนะนำ : ใส่แกงเลียง กินสดแกล้มกับขนมจีน หรือใส่แกงป่าต่างๆ


พืชผักชนิดต่างๆ ที่กล่าว สังเกตให้ดีๆจะเห็นว่า พืชผักที่คนโบราณบอกให้รับประทานเพื่อเรียกน้ำมันนั้น ส่วนใหญ่มีฤทธิ์ให้ความร้อนแก่ร่างกาย ช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดี ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารเป็นไปอย่างปกติ และประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญอย่าง แคเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส  แต่คุณแม่ก็ต้องรับประทานอาหารชนิดต่างๆ ให้ครบทุกหมวดหมู่

รวมถึงผลไม้ เพื่อให้ระบบการย่อยทำงานให้เป็นปกติส่วนการดื่มน้ำอุ่น ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่ให้นมลูกทุกท่านต้องหมั่นดื่มบ่อยๆ ทั้งวันโดยเฉพาะช่วงต้นของการให้นมลูก เป็นการเรียกน้ำนมได้ดีอีกทางหนึ่ง และที่ต้องย้ำอีกครั้งคือ ต้องให้ลูกดูดนมจากอกแม่อย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอตามที่ลูกต้องการ ถ้าเกิดอาการนมคัด หัวนมแข็ง ก็ต้องบีบให้น้ำนมไหลออกบ้างก่อนให้ลูกดูด ไม่เช่นนั้นลูกดูดไม่ออก พาลจะไม่ยอมดูดนมแม่ในครั้งต่อๆ ไป



 credit: www.baby2talk.com

Saturday, May 11, 2013

วิธีทำเต้าหู้ชนิดแข็ง (How to make firm tofu)


เต้าหู้ชนิดแข็ง
  • เต้าหู้ชนิดขาวแข็ง ทำจากน้ำเต้าหู้ผสมกับดีเกลือ (แมกนีเซียมซัลเฟต) ที่ช่วยทำให้เกิดการตกตะกอนเมื่อตกตะกอนแล้วจึงนำไปใส่ในผ้าขาวที่ปูอยู่ในบล็อก พอสะเด็ดน้ำแล้วจึงห่อให้เป็นก้อนแล้วทำให้สะเด็ดน้ำอีกครั้งก็จะได้เป็นเต้าหู้ขาวแข็ง
  • เต้าหู้ชนิดเหลืองแข็ง วิธีการทำนำเต้าหู้ขาวแข็งไปหมักในเกลือแล้วจึงนำไปต้ม พร้อมทั้งใส่ขมิ้นให้เป็นสีเหลืองเคลือบบริเวณผิวของเต้าหู้ทำให้เนื้อเต้าหู้ชนิดนี้แข็งและมีความยืดหยุ่นกว่าชนิดขาวแข็ง ส่วนใหญ่นำไปทำผัดไทย หมี่กะทิ ผัดถั่วงอก ผัดขลุกขลิกน้ำพริกเผาหรือนำไปผสมเป็นเครื่องก๋วยเตี๋ยวหลอด
  • เต้าหู้ชนิดทอด มีส่วนประกอบคล้ายกับเต้าหู้ขาวแข็งแต่มีสัดส่วนและเทคนิคที่แตกต่างกัน เนื้อสัมผัสที่ได้จากเต้าหู้ชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มกว่าเต้าหู้ขาวแข็ง เมื่อนำไปทอดแล้วจะพองตัวมากกว่าและภายในจะมีเนื้อเต้าหู้อยู่ไม่พองหรือกลวง โดยมากจะใส่ในอาหารประเภทต้ม (พะโล้ ต้มผัดจับฉ่าย แกงต่างๆ และลูกชิ้นแคะ)
  •  เต้าหู้ชนิดซีอิ๊วดำ วิธีทำนำเต้าหู้ชนิดเหลืองแข็งไปเคี่ยวกับซีอิ๊วดำและเครื่องเทศสมุนไพรต่างๆ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอมและรสชาติที่แตกต่างโดยใส่น้ำตาลทรายแดงทำให้มีรสชาติที่กลมกล่อมสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าเต้าหู้ชนิดอื่นๆ เพราะมีความชื้นน้อย ถ้าเก็บใส่ช่องฟรีซจะเก็บไว้ได้นานหลายเดือน นิยมนำไปยำกับเกี้ยมไฉ่ ผัดกับดอกกุยช่าย ใส่ในอาหารเจแทนเนื้อหมูในพะโล้เจหรือทานเป็นอาหารว่างก็ได้


อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ “การทำดีเกลือแบบง่ายๆ” »



วิธีทำเต้าหู้ชนิดแข็ง
(How to make firm tofu)

ส่วนผสม

  • ถั่วเหลือง 1,000 กรัม (1 กิโลกรัม)
  • น้ำดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ (สังเกตว่า เต้าหู้แข็ง ใช้ “ดีเกลือ” ในการทำ)
  • น้ำ 4 ลิตร

อุปกรณ์
  • เครื่องปั่น
  • ผ้าขาวบาง
  • ตะแกรง
  • ถ้วยตวงน้ำ
  • พิมพ์ไม้สี่เหลี่ยม
  • เขียงหรือของหนัก


วิธีทำ

1. เลือกเมล็ดถั่วที่เสียออก ล้างน้ำแล้วแช่น้ำ 3 ชั่วโมง จนเมล็ดถั่วพองและอมน้ำเต็มที่ บี้เอาเปลือกออกให้หมด (ควรใช้ถั่วเหลืองซีก) เคล็ดลับการทำเต้าหู้คือ การแช่ถั่วเหลืองไม่ควรนานเกิน 2-3 ชั่วโมง ให้สังเกตว่าพอเม็ดถั่วเริ่ม พอง อมน้ำเต็มที่ ก็จะใช้ได้ ถ้าเราแช่เมล็ดถั่วเหลืองในน้ำนานเกินไป จะทำให้โปรตีนในถั่วจับตัวกันได้ไม่ดีเท่าที่ควร

2. ใส่ ถั่ว และ น้ำ ลงในโถปั่น ครั้งละ 1/3 ของโถปั่น (เพราะถ้าใส่ถั่วและน้ำเกินครึ่งของโถปั่น เวลาปั่นจะกระเฉาะ และลันได้) ปั่นเข้าด้วยกันจนละเอียดทำจนหมด

3. กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง (ผ้ากรองเป็นผ้าสังเคราะห์ เขาเย็บเป็นถุงเรียบร้อย ใช้กรองได้ดีกว่า ถึงดีมากๆ มีขายตามร้านขายของชำ)

4. บีบเอาน้ำนมถั่วเหลืองออกให้หมด

5. นำน้ำนมถั่วเหลืองมาต้ม โดยใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง พอเดือดสักครู่ ปิดไฟ ยกลงแช่ในอ่างน้ำประมาณ 10 นาที จนอุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส ยกหม้อออก

6. เทน้ำดีเกลือลงในหม้อทีละน้อย คนให้เข้ากัน ใส่น้ำดีเกลืออีก จนข้นและโปรตีนถั่วเหลืองจับตัวเป็นก้อน จนหมดน้ำดีเกลือ

7. ตั้งหม้อทิ้งไว้สักครู่ให้โปรตีนตกตะกอน

8. ตักโปรตีนถั่วเหลืองใส่พิมพ์ไม้ที่รองด้วยผ้าขาวบางจนเต็ม ห่อให้เรียบร้อย

9. ทับด้วยเขียงหรือของหนักๆ ประมาณ 30 นาที จะได้เต้าหู้แข็ง

10. นำเต้าหู้ที่ได้ไปนึ่งสักครู่จนร้อน ทิ้งไว้ให้เย็น เก็บใส่กล่องที่มีน้ำ ปิดฝา แช่ตู้เย็น

หมายเหตุ: อุณหภูมิที่ต้ม 70-80 องศาเซลเซียส ตำราเขากำหนดไว้ขนาดนี้  ถ้าน้ำเต้าหู้เราทำปริมาณน้อยๆ อุณหภูมิระดับนี้อาจจะไม่พอ เนื่องจากการระบายความร้อนที่ดีกว่าทำในปริมาณเยอะๆ ทำให้บางทีน้ำเต้าหู้ไม่ยอมจับตัว ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร … ให้ยกตั้งไฟให้ร้อนใหม่ หรือร้อนจนน้ำเต้าหู้เริ่มจับตัว ลักษณะเหมือนกะทิแตกมัน




เครดิต:
นายเหลือง.com
th.wikipedia.org
baiKwan.bloggang.com/

Wednesday, May 1, 2013

All of Healthy Recipes - รวม บทความ เมนู อาหารเพื่อสุขภาพ แนะนำ

Healthy Recipes and Meal Ideas : Food Network
Trying to find healthy and delicious recipes? Food Network makes that easy with their collection of low fat, low calorie and low carb recipes.
Chicken Breast Recipes - Low Calorie - Ellie's Recipes
http://www.foodnetwork.com/healthy-eating/index.html

Healthy Recipes - MayoClinic.com
Browse hundreds of healthy recipes from MayoClinic.com.
http://www.mayoclinic.com/health/healthy-recipes/RecipeIndex


All of Healthy Recipes
รวม บทความ เมนู อาหารเพื่อสุขภาพ แนะนำ

















Tuesday, April 30, 2013

มาทำ "เต้าหู้อ่อน" ทานเองกันเถอะ (How to make soft tofu)


เต้าหู้ชนิดอ่อน

เต้าหู้ชนิดเหลืองนิ่ม วิธีการทำต่างจากเต้าหู้ขาวแข็งเพราะใช้แคลเซียมซัลเฟต (ผงยิปซัม หรือที่เรียกในภาษาจีนแต้จิ๋วว่า"เจียะกอ(石膏)") ในการทำให้โปรตีนในน้ำนมถั่วเหลืองตกตะกอน ซึ่งเนื้อจะเนียนและไม่แข็งเท่าเต้าหู้ขาวแข็ง เมื่อตกตะกอนแล้วนำมาใส่ผ้าขาวบางห่อในบล็อกให้เป็นก้อนแล้วนำไปต้ม ใส่ขมิ้นให้ได้สีเหลือง คุณสมบัติเด่นของเต้าหู้เหลืองนิ่มคือ เมื่อนำไปทอดแล้วจะทำให้ได้เต้าหู้ที่กรอบนอกนุ่มใน เต้าหู้ชนิดนี้เหมาะที่จะนำไปผัดกับกุยช่ายขาว ทอดจิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยวหวาน ทอดกินกับน้ำพริกกะปิหรือทอดจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ได้

เต้าหู้ชนิดขาวอ่อน ลักษณะอ่อนนุ่มกว่าเต้าหู้เหลืองนิ่ม กรรมวิธีการผลิตเหมือนกับเต้าหู้เหลืองนิ่มจะต่างกันเพียงเวลาในการทำน้อยกว่า เต้าหู้ชนิดนี้นิยมนำไปทำเป็นแกงจืด เต้าหู้นึ่งหรือสเต๊กเต้าหู้

 เต้าหู้ชนิดห่อผ้า วิธีการทำเหมือนกับเต้าหู้ชนิดขาวอ่อน ต่างกันเพียงการบรรจุหีบห่อที่นำมาห่อผ้าแล้วมัดทำให้แข็งและคงรูปร่างได้ดีมากขึ้นเมื่อนำไปทำอาหาร ส่วนใหญ่จะนำไปทำเต้าหู้ทรงเครื่องหรือแกงจืด


"เจี๊ยะกอ" คือ แคลเซียมซัลเฟต (Calcium Sulfate) หรือ หินฝุ่น หรือ หินอ่อนสะตุ.. เวลาใช้ ต้องป่นและร่อน ให้เป็นผงละเอียด หาซื้อได้ที่ร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ หรือร้านขายยาจีน แต่ที่ร้านขายยาจีน มักจะเป็นหินอ่อนที่ยังไม่ได้สะตุ
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ เจี๊ยะกอ เพิ่มเติม »



วิธีทำเต้าหู้อ่อน
(How to make soft tofu)

ส่วนผสม

  • ถั่วเหลือง 300 กรัม ( 3 ขีด)
  • เจี๊ยะกอ 1 ช้อนชา (สังเกตว่าเต้าหู้อ่อนจะใช้ “เจี๊ยะกอ” ในการทำ)


อุปกรณ์
  • เครื่องปั่น
  • ผ้าขาวบาง
  • ตะแกรง
  • ถ้วยตวงน้ำ
  • พิมพ์ไม้สี่เหลี่ยม
  • เขียงหรือของหนัก


วิธีทำ

1. เลือกเมล็ดถั่วที่เสียออก ล้างน้ำแล้วแช่น้ำ 3 ชั่วโมง จนเมล็ดถั่วพองและอมน้ำเต็มที่ บี้เอาเปลือกออกให้หมด (ควรใช้ถั่วเหลืองซีก) เคล็ดลับการทำเต้าหู้คือ การแช่ถั่วเหลืองไม่ควรนานเกิน 2-3 ชั่วโมง ให้สังเกตว่าพอเม็ดถั่วเริ่ม พอง อมน้ำเต็มที่ ก็จะใช้ได้ ถ้าเราแช่เมล็ดถั่วเหลืองในน้ำนานเกินไป จะทำให้โปรตีนในถั่วจับตัวกันได้ไม่ดีเท่าที่ควร

2. ใส่ ถั่ว และ น้ำ ลงในโถปั่น ปั่นเข้าด้วยกันจนละเอียด

3. กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง (ผ้ากรองเป็นผ้าสังเคราะห์ เขาเย็บเป็นถุงเรียบร้อย ใช้กรองได้ดีกว่า ถึงดีมากๆ มีขายตามร้านขายของชำ)

4. บีบเอาน้ำนมถั่วเหลืองออกให้หมด

5. นำน้ำนมถั่วเหลืองมาต้ม โดยใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง พอเดือดสักครู่ ปิดไฟ ระหว่างต้มคอยคนไปด้วย จะได้ไม่ไหม้ติดก้นหม้อ

6. เทน้ำเจี๊ยะกอลงในหม้อทีละน้อย คนให้เข้ากัน จนโปรตีนถั่วเหลืองจับตัวเป็นก้อน “คล้ายกะทิแตกมัน”

**** ถ้าโปรตีนถั่ว “ไม่ยอมจับตัวเป็นก้อนเล็กๆ” แสดงว่า *ความร้อนไม่พอ* ให้ตั้งไฟให้ร้อนสักพักจะจับตัวเป็นก้อนเล็กๆ (ตามตำราเขาใช้ปรอทวัดความร้อน แต่ลองทำแล้ว ไม่จำเป็นต้องเครียดขนาดนั้น ถ้ามันร้อนไม่พอ เราก็ตั้งไฟให้ร้อนใหม่ได้)

7. ตั้งหม้อทิ้งไว้สักครู่ให้โปรตีนตกตะกอน

8. ตักโปรตีนถั่วเหลืองใส่พิมพ์ไม้ที่รองด้วยผ้าขาวบางจนเต็ม ห่อให้เรียบร้อย

9. ทับด้วยเขียงหรือของหนักๆ ประมาณ 30 นาที จะได้เต้าหู้ (ถ้าไม่ชอบแข็งมาก ไม่ต้องทับก็ได้)

10. นำเต้าหู้ที่ได้ไปนึ่งสักครู่ ทิ้งไว้ให้เย็น เก็บใส่กล่องที่มีน้ำ ปิดฝาแช่ตู้เย็น

หมายเหตุ: เต้าหู้ที่ทำเสร็จ มีกลิ่นรส ความนุ่ม สี อะไรๆ คล้ายกับ “เต้าหู้ดาว” มาก พิมพ์ไม้สี่เหลี่ยม ตอนแรกยังไม่มี ใช้ตะแกรงพลาสติกสี่เหลี่ยม ที่มีรูๆ ก็ใช้ได้เหมือนกัน




เครดิต:
นายเหลือง.com
สมุนไพร.com 
th.wikipedia.org



Wednesday, April 24, 2013

วิธีทำ "น้ำดีเกลือ" แบบง่ายๆ (How to make Sodium sulfate)

เคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับการปรุงอาหาร และงานครัวต่างๆ
(Cooking Tips and Kitchen Tricks)

เรื่อง ของการทำอาหาร งานบ้าน งานครัว จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าเรารู้เคล็ดลับในการจัดการค่ะ สำหรับเครื่องใช้ภายในบ้านนั้นมีมากมายหลายชนิด ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญต่อการใช้ชิวิต ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของสมาชิกภายในครอบครัว โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวที่ต้องสัมผัสกับปากโดยตรงยิ่งต้องดูแลมาก เป็นพิเศษ Food for Health Guide จึงรวบรวม ความรู้ เคล็ด(ไม่)ลับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการปรุงอาหาร ทำอาหาร และงานครัวต่างๆ เพื่อที่คุณจะสามารถนำไปลองทำกันได้ง่ายๆ มาแนะนำค่ะ

......................................................................................................................................................

มาทำ "น้ำดีเกลือ" ไว้ใช้เองกันเถอะ


สำหรับคนที่ชอบทานเต้าหู้ แล้วต้องการหัดทำเต้าหู้แบบแข็งทานเอง มีส่วนประกอบอย่างหนึ่งที่หายากคือ "ดีเกลือ" ซึ่งเป็นตัวที่จะช่วยให้น้ำถั่วเหลืองของเราตกตะกอนเป็นเต้าหู้นั่นเอง แล้วเจ้าดีเกลือนี่ก็ไม่ทราบว่าจะหาซื้อได้จากที่ไหน เดินไปถามในตลาดก็ไม่มี แล้วการทำเต้าหู้แข็งนี่ต้องใช้ ดีเกลือไทย หรือ ดีเกลือฝรั่ง กันแน่ ซึ่งเว็บส่วนมากก็จะบอกว่าใช้ "ดีเกลือ" แค่นั้น ?!?!?

เพื่อตัดปัญหาเหล่านี้ วันนี้จึงเอาวิธีการทำ "ดีเกลือ" แบบง่าย ๆ มาฝากค่ะ


อุปกรณ์ และสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้มี 5 อย่าง ได้แก่

1. ถัวยใบใหญ๋ใส่น้ำเปล่าไว้ 2 ใน 3 ของถ้วย

2. ถ้วยเปล่าใบเล็ก

3. ตระกร้าใบเล็กมีรู้ข้างล่างขนาดพอที่จะวางไว้บนถ้วยเปล่าใบเล็กได้ แล้วใส่เกลือทะเลเม็ดจนเต็ม

4. ถุงพลาสติกใหญ่พอที่จะใส่ถ้วยใบใหญ่ได้

5. เกลือทะเลเม็ด

เมื่อได้อุปกรณ์ครบแล้วก็เริ่มทำดีเกลือกันเลยค่ะ



วิธีการทำ

1. นำถ้วยใบเปล่าใบเล็ก ใส่ลงไปในถ้วยใบใหญ่ที่มีน้ำ

2. แล้ววางตะกร้าเกลือไว้บนถ้วยเปล่าใบเล็กอีกที

3. จากนั้นเอาถุงพลาสติกมาห่อไว้ ยกเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องธรรมดานี่แหละ ดีเกลือจะได้จากความชื้นกลั่นตัวเป็นไอน้ำผ่านเกลือที่ตั้งไว้ตกลงไปอยู่ในถ้วยใบเล็กค่ะ

4. วางไว้ประมาณ 10 วัน จะได้ดีเกลือมาประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ ถ้าอยากได้เยอะๆ หน่อยก็วางไว้นานหน่อยค่ะ  แต่ 4 ช้อนโต๊ะ นี่ไม่ต้องห่วงว่าจะน้อยไป เวลาทำเต้าหู้ใช้ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะเท่านั้น

รสชาติของดีเกลือที่ได้จะออกเค็ม ๆ ขม ๆ เรียกว่าเค็มจนขม เลยค่ะ ยังไงก็ลองไปทำกันดูนะคะ


ดูเคล็ดลับทั้งหมด | SEE ALL TIPS & TRICKS »




เครดิต เรื่อง/ภาพ: บ้านสวนพอเพียง.com

Tuesday, April 16, 2013

"ดีเกลือ" คืออะไร? (Sodium sulfate & Magnesium sulfate)

เคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับการปรุงอาหาร และงานครัวต่างๆ
(Cooking Tips and Kitchen Tricks)

เรื่อง ของการทำอาหาร งานบ้าน งานครัว จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าเรารู้เคล็ดลับในการจัดการค่ะ สำหรับเครื่องใช้ภายในบ้านนั้นมีมากมายหลายชนิด ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญต่อการใช้ชิวิต ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของสมาชิกภายในครอบครัว โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวที่ต้องสัมผัสกับปากโดยตรงยิ่งต้องดูแลมาก เป็นพิเศษ Food for Health Guide จึงรวบรวม ความรู้ เคล็ด(ไม่)ลับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการปรุงอาหาร ทำอาหาร และงานครัวต่างๆ เพื่อที่คุณจะสามารถนำไปลองทำกันได้ง่ายๆ มาแนะนำค่ะ

......................................................................................................................................................

"ดีเกลือ" คืออะไร?

ดีเกลือ คือสารประกอบ เกลือซัลเฟต ของโซเดียมและแมกนีเซียม แบ่งออกเป็นสองชนิด ซึ่งทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติและลักษณะแต่งต่างกัน คือ

1. ดีเกลือไทย 
มีสูตรทางเคมีว่า Na2SO4 ดีเกลือชนิดที่เป็นเกลือซัลเฟตของโซเดียม หรือเรียกง่ายๆว่า "โซเดียมซัลเฟต" (Sodium sulfate) มีลักษณะเป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสเค็ม มีคุณสมบัติเป็นถ่ายพิษเสมหะและโลหิต ถ่ายอุจจาระ ถ่ายพรรดึก ทำให้เส้นเอ็นหย่อน

2. ดีเกลือฝรั่ง 
มีสูตรทางเคมีว่า MgSO4.7H2O ดีเกลือชนิดที่เป็นเกลือซัลเฟตของแมกนีเซียม หรือเรียกว่า "แมกนีเซียมซัลเฟต" (Magnesium sulfate) เรียกเป็นภาษาสามัญแบบฝรั่งว่า Epsom salts หรือ Bitter Salt เหตุเพราะมีรสขมฝาด ไม่ได้เค็มเหมือนเกลืออย่างที่เข้าใจ มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวหรือใส คล้ายผงชูรส ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้


 ลักษณะที่ใช้กันจะเป็นผงผลึกหรือเกล็ดขาว ซึ่งได้มาจากการนำน้ำทะเลมาเคี่ยวจนแห้ง เหลือเป็นเกลือสะตุ แต่ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้นจากอากาศอยู่ ดังนั้น เมื่อวางดีเกลือทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง จะทำให้จับตัวแข็งเป็นก้อน

มีคุณสมบัติเป็นยาระบายถ่ายอุจจาระ ถ่ายพิษเสมหะและโลหิต นิยมนำเอามาใช้ในการรักษาปลา และยังมีการนำไปใช้ในการเกษตรเรื่องเอาไปช่วยรักษาดินที่ขาดแมกนีเซียม นอกจากนี้สาวๆ ยังนิยมนำไปเป็นส่วนผสมในการรักษาสิวแบบประหยัดอีกด้วย

ดีเกลือทั้งสองแบบมีคุณประโยชน์คล้ายกัน แต่โดยส่วนมากดีเกลือที่มีในท้องตลาดจะเป็น แมกนีเซียมซัลเฟต (ดีเกลือฝรั่ง) สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายสารเคมีทั่วไป ศึกษาภัณฑ์ หรือร้านขายยาแผนโบราณ โดยมีคุณสมบัติ ได้แก่...

ใช้เพื่อกินเป็นยาระบาย โดยผสมน้ำ 3 ถ้วยต่อดีเกลือ 4 ช้อนโต๊ะ

ใช้ในบ่อกุ้ง เพื่อเพิ่มปริมาณแมกนีเซียม ช่วยกุ้งสร้างเปลือกใหม่ ในช่วงลอกคราบ

ใช้ประกอบอาหาร อาทิ เต้าหู้ ดีเกลือจะช่วยแยกชั้นเนื้อและชั้นน้ำของถั่วเหลืองปั่น

ใช้ในการขับไล่สารพิษในไต

ใช้เพื่อปรับสภาพดิน ให้เหมาะสมกับการปลูกพืชประเภทผล เช่น มะเขือเทศ มันฝรั่ง


ดูเคล็ดลับทั้งหมด | SEE ALL TIPS & TRICKS »

 

Wednesday, April 10, 2013

"เจี๊ยะกอ" คืออะไร?

เคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับการปรุงอาหาร และงานครัวต่างๆ
(Cooking Tips and Kitchen Tricks)

เรื่อง ของการทำอาหาร งานบ้าน งานครัว จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าเรารู้เคล็ดลับในการจัดการค่ะ สำหรับเครื่องใช้ภายในบ้านนั้นมีมากมายหลายชนิด ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญต่อการใช้ชิวิต ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของสมาชิกภายในครอบครัว โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวที่ต้องสัมผัสกับปากโดยตรงยิ่งต้องดูแลมาก เป็นพิเศษ Food for Health Guide จึงรวบรวม ความรู้ เคล็ด(ไม่)ลับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการปรุงอาหาร ทำอาหาร และงานครัวต่างๆ เพื่อที่คุณจะสามารถนำไปลองทำกันได้ง่ายๆ มาแนะนำค่ะ

......................................................................................................................................................

"เจี๊ยะกอ" คืออะไร?

"เจี๊ยะกอ" ((石膏) เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว) หรือบางคนก็เรียก เอี๊ยะกอ คือ แคลเซียมซัลเฟต (Calcium Sulfate) หรือ หินฝุ่น หรือ ผงยิปซัม (Gypsum powder) หรือ หินอ่อนสะตุ*  เป็นส่วนผสมหลักในการทำเต้าหู้ บางคนจึงเรียกว่า "หินเต้าหู้" ก็มี เจี๊ยะกอ ใช้ในการทำเต้าหู้อ่อน เพื่อทำให้โปรตีนในน้ำนมถั่วเหลืองตกตะกอน เนื้อจะเนียนและไม่แข็งเท่าเต้าหู้ขาวแข็งที่จะใช้ดีเกลือเป็นส่วนผสม

เจี๊ยะกอ เวลาใช้ ต้องป่นและร่อน ให้เป็นผงละเอียด หาซื้อได้ที่ร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ หรือร้านขายเครื่องยาจีนทั่วไป หรือ แถวย่านตลาดเก่าเยาวราช หรือ วงเวียน 22 ร้านขายยาจีนบางร้านอาจจะเป็นหินอ่อนที่ยังไม่ได้สะตุ


(*) การสะตุ คือ การทำให้ตัวยามีฤทธิ์อ่อนลง หรือ ทำให้พิษของตัวยาน้อยลง หรือทำให้ตัวยานั้นสะอาดขึ้น หรือทำให้ตัวยานั้นสะอาดปราศจากเชื้อโรค หรือ ทำให้ตัวยานั้นสลายตัวลง เช่น เกลือเมื่อสะตุแล้ว จะละเอียดลง ผสมยาง่ายขึ้น และฤทธิ์อ่อนลง เป็นต้น



ดูเคล็ดลับทั้งหมด | SEE ALL TIPS & TRICKS »



Monday, March 25, 2013

การดื่มกาแฟ กับ คุณแม่ตั้งครรภ์

การดื่มกาแฟ กับ คุณแม่ตั้งครรภ์ 
(Drinking coffee during pregnancy)

เมื่อว่าที่คุณแม่ติดกาแฟ...

เรื่องนี้เชื่อว่าเป็นปัญหาสำหรับหลายๆ คน เพราะบางคนติดกาแฟมากถึงขนาดไม่กินข้าวได้ แต่ขาดกาแฟเหมือนขาดใจ ชีวิตจะเหี่ยวเฉาไปทั้งวัน ทำการทำงานไม่ได้ แล้วถ้าอยู่ๆ เกิดท้องขึ้นมาล่ะ .... จะยังดื่มกาแฟได้อยู่หรือเปล่า ถ้าดื่มจะมีผลยังไงกับลูกน้อยบ้าง ... วันนี้มาดูกัน ^^

ข้อมูลจากงานวิจัยในปัจจุบันไม่พบว่ามีหลักฐานถึงความเกี่ยวโยงระหว่างการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในระหว่างการตั้งครรภ์กับความพิการของทารกในครรภ์

มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนระหว่างตั้งครรภ์ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ แต่การให้คาเฟอีนในขนาดสูงอาจจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรม (gene mutation) เมื่อได้รับรังสี (radiation) หรือสารเคมีบางอย่างได้ นอกจากนี้พบว่าถ้าฉีดคาเฟอีนเข้าไปในกระแสเลือดของแกะ จะทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกลดลงประมาณ 5-10%

สำหรับการศึกษาในคน ก็มีรายงานว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณสูง เทียบเท่ากับการดื่มกาแฟมากกว่า 5 แก้วต่อวัน มีความสัมพันธ์กับการแท้ง

อย่างไรก็ตาม การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณปานกลาง คือ มีระดับคาเฟอีนน้อยกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน "ไม่ได้เพิ่ม" อัตราการคลอดทารกน้ำหนักตัวน้อย, ภาวะโตช้าในครรภ์ หรือ การคลอดก่อนกำหนด

แต่พบว่าเมื่อเทียบกันแล้วการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนปริมาณมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อวัน ตลอดการตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดทารกโตช้าในครรภ์ประมาณ 1.4 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ได้รับปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน

จากข้อมูลทั้งหมดทั้งปวง มีคำแนะนำจาก The American Dieteric Association ปี 2002 เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในระหว่างตั้งครรภ์ ควรจำกัดอยู่ที่น้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน คิดง่ายๆ ก็คือ ปริมาณไม่เกินการดื่มกาแฟชนิด percolated coffee (เป็นกาแฟที่ชงแบบใส่กาแฟในที่กรองแล้วให้น้ำร้อนผ่านกาแฟลงมา .. อันนี้เปิดหาเพิ่มใน Google นะคะ ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า) แก้วขนาดประมาณ 140 มิลลิลิตร 3 แก้วนั่นเอง

ปัจจุบันกาแฟมีมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีปริมาณคาเฟอีนที่แตกต่างกัน นอกจากกาแฟแล้ว โอวัลติน โกโก้ น้ำอัดลมบางชนิดก็ยังมีคาเฟอีนผสมในระดับที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้นคุณผู้อ่านอาจจะต้องสังเกตฉลากข้างบรรจุภัณฑ์หรือว่าหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเครื่องดื่มที่เราดื่มนั้นมีปริมาณคาเฟอีนผสมอยู่เท่าไหร่

ถ้าแนะนำง่ายๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องดื่มซะจบเรื่อง แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆ 1 แก้วขนาด 250 มิลลิลิตรก็พอหยวนๆ ได้ ถ้ากินกาแฟไปแล้ว โกโก้ ชาเย็น ช็อคโกแลต ของวันนั้นก็หมดโควต้า ส่วนน้ำอัดลมมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อยู่แล้วแถมยังน้ำตาลเยอะอีกก็เลี่ยงซะ ทำได้แบบนี้หมอว่าก็โอเคล่ะนะ ^^

(ปล. คำแนะนำนี้สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีความเสี่ยงเท่านั้น ส่วนคุณแม่คนไหนเป็นเบาหวานหรือน้ำหนักเกินที่ต้องคุมอาหารหมดสิทธิ์นะจ๊ะนะ เดี๋ยวจะบอกว่าหมอเมษ์ให้ดื่มกาแฟได้วันละ 1 แก้วแล้วน้ำตาลขึ้น คุณหมอที่ดูแลดุเอาเค้าไม่รับผิดชอบนะ ^^)




Credit: Facebook.ใกล้มิตรชิดหมอ by หมอเมษ์



Monday, January 21, 2013

ยาคูลท์... เรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ (Yakult - Probiotics)


ปัจจุบัน มีเครื่องดื่มน้ำสีส้มขวดขาวขุ่นออกมาวางแข่งกับยาคูลท์หลายยี่ห้อ ก็เคยซื้อกินเหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันถูกดี กินทีอิ่มไปหลายชั่วโมง หลอดก็ใหญ่กว่าดูดได้สะใจ หรือจะยกซดก็ไม่เลว แต่จะว่าไปแม้จะพยายามเลียนแบบอย่างไร (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าอื่นเขาจงใจเลียนแบบหรือแค่บังเอิญ) ยาคูลท์ก็ยังไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้


ยาคูลท์ คืออะไร?


ยาคูลท์ เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์ที่ให้ประโยชน์นับพันล้านตัว ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งได้มาจากการหมักนมกับน้ำตาลกลูโคส โดยใช้จุลินทรีย์ชิโรต้า ยาคูลท์ไม่ใช่เป็นเพียงนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต แต่เป็น "โพรไบโอติก (Probiotics)" หรืออาหารเสริมที่มีแบคทีเรีย หรือจุลินทรีย์ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย จุลินทรีย์ชิโรต้า หรือ แลคโต บาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า ได้ถูกคัดเลือกมาโดยเฉพาะ เพราะมีความสามารถทนต่อสภาวะความเป็นกรดที่รุนแรงในกระเพาะอาหารของคนเรา และทนต่อความเป็นด่างที่รุนแรงของน้ำดี สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในลำไส้ และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของเราได้

ยาคูลท์ทำงานอย่างไร

หากมองลงไปในพุงกะทิของเราเองจะเห็นว่าลำไส้เล็กนั้น จะบีบขย้ำกดขี่ข่มเหงและแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นสารที่เป็นประโยชน์ เพื่อรอการดูดซึมแต่ในขณะเดียวกันก็จะมีสารที่เป็นโทษหลุดรอดออกมาด้วย เมื่อร่างกายก่อเกิดความสมดุลของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ ระบบย่อยอาหารของเราก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

เฉลี่ยแล้ว แลคโตบาซิลัสมีมูลค่าตัวละ 0.00000000075 บาท แต่ถ้าสมดุลเสียไป สารพิษและสารอันตราย อาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ดังนั้นไอ้เจ้าแลคโตบาสิลัสก็เลยคิดใหม่ทำใหม่กลายเป็นพระเอกม้าขาว(ออกสี นวลๆส้มๆหน่อย) เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการปรับสมดุลของลำไส้ ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของช่องท้องให้ สม่ำเสมอ ลดสารที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่ถูกผลิตโดยแบคทีเรียฝ่ายค้าน(ฝ่ายย่อย สลาย)

จุดเริ่มต้น

หากใครคิดว่ายาคุลท์มีแค่เมืองไทยละก็ผิดถนัด เพราะยาคูลท์มีสัญชาติญี่ปุ่นเต็มตัว นับว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับโกโบริก็น่าจะได้ เพราะเมื่อ 70 กว่าปีก่อนหรือปี คศ.1930 ดร.มิโนรุ ชิโรตะ (คศ.1899-1982) จากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยเกียวโตประเทศญี่ปุ่น ได้เริ่มต้นวิจัยพัฒนายาคูลท์ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่ว่าในช่วงเวลานั้น ที่ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรจชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ประสบกับปัญหาเกี่ยวกับโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ท้องร่วง การติดเชื้อในลำไส้ อันสืบเนื่องมาจากการสาธารณสุขที่ยังไม่ดีพอ และต้องล้มตายด้วยการขาดสารอาหาร

 ดร. มิโนรุ ชิโรต้า จึงมีความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแบคทีเรีย "กรดนม" ด้วยแนวความคิดที่จะใช้เเบคทีเรียควบคุมแบคทีเรียด้วยกันเอง เเละได้ประสบความสำเร็จในการคัดเลือกเเบคทีเรียกรดนมที่มีความแข็งแรงที่สุดจากกว่า 300 สายพันธุ์ เป็นแบคทีเรียที่สามารถทนต่อกรดของกระเพาะอาหาร และน้ำดีจากตับที่มีฤทธิ์เป็นด่าง และยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ในลำไส้คนเรา ซึ่งสายพันธุ์อื่นทนไม่ได้ ชื่อว่า แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า

ด้วยแนวคิดที่จะให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ดร. มิโนรุ ชิโรต้า จึงได้นำแบคทีเรียตัวนี้มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวให้ชื่อว่า "ยาคูลท์" และเริ่มออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1935 ในปัจจุบันมีประชากรกว่า 26 ล้านคน ใน 32 ประเทศทั่วโลกที่ดื่มยาคูลท์เป็นประจำ

ดร. มิโนรุ ชิโรต้า บิดาแห่งยาคูลท์

ยาคูลท์ถูกผลิตในห้องแลบของดอกเตอร์ชิโรตะ และถูกแจกจ่ายสู่ผู้ป่วย และผู้ที่ ต้องการในเกียวโต จนกระทั่งในปี 1935-1955 ยาคูลท์ถูกผลิตเพื่อขายทั่วทั้งญี่ปุ่นโดยผู้จำหน่ายอิสระ

ใน ปี1955 ดร. ชิโรตะ ก่อตั้งบริษัท Yakult Honsha เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทยาคูลท์างธุรกิจ และควบคุมผู้จำหน่ายตั้งแต่นั้นมากลุ่มบริษัทยาคูลท์ได้ขยายตลาดสู่สากล กว่า 200 บริษัทใน 17 ประเทศ ในขณะเดียวกัน บริษัทแม่ Yakult Honsha ก็มีส่วนเกี่ยวของกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนนผสมของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ หลายชนิด จนกระทั้งปี 1967 สถาบันวิจัยที่มีชื่อว่า Yakult Central Institute for Microbiological Research ก็ถูกก่อตั้งขึ้นในโตเกียว


นอกจากนั้น ยาคูลท์ก็ยังเป็นธุรกิจขายตรงที่ไม่ใช่ MLM ที่ยืนยงมาถึงทุกวันนี้อีกต่างหาก  สมัยเด็กๆมีสาวยาคูลท์ขี่จักรยานมาขายยาคูลท์ที่บ้านทุกวัน เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี เธอก็ยังเป็นสาวยาคูลท์ปั่นจักรยานอยู่เช่นเคย (แต่ไม่รู้ว่าคันที่เท่าไรแล้ว)...

ประโยชน์ของจุลินทรีย์ชิโรต้า

1 ช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย
2 รักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
3 ยับยั้งและทำลายแบคทีเรียที่ให้โทษต่อร่างกาย
4 ลดอาการท้องผูก และท้องเสีย
5 ลดการสร้างสารพิษจากแบคทีเรียที่ให้โทษ
6 ช่วยให้ลำไส้มีการขยับเคลื่อนตัวมากขึ้น เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
7 กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดการติดเชื้อ


สาวยาคูลท์เค้าฝากบอกมา...

- ถ้าท้องผูก  เพราะพฤติการการทานอาหาร  ช่วงแรก ๆ ที่ทานยาคูลท์ อาจไม่เห็นผล แต่ให้ทานทุกวันต่อเนื่อง เพื่อให้จุลินทรีย์ไปปรับสภาพในลำใส้ จะดีขึ้น แล้วจะเห็นผลในที่สุด...ไม่เชื่อลองดูยาคูลท์

- สำหรับคนที่มีอาการท้องเสีย  หลังการทานอาหารพวกส้มตำ  ให้ทานยาคูลท์ตาม 2 ขวด รับรองเห็นผล  ถ้าเป็นบิด ก็ให้ทานสัก 5 ขวด  และหากลามไปถึง อหิวา ก็ให้ทานมากขึ้นตามลำดับ (จำไม่ได้แล้วว่ากี่ขวด เธอพูดเร็วมาก) แต่ยังไม่หยุดถ่าย หรือ ถ่ายเป็นน้ำเป็นปี๊ปๆ  เธอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพราะยาคูลท์คงช่วยท่านไม่ได้แล้ว

- 1 ขวดเก็บได้ 7 วัน ถ้าเกินจากนี้ให้เก็บในตู้เย็นจะอยู่ได้อีก 21 วัน แต่ที่กำหนดให้อายุยาคูลท์สั้น จะได้สั่งกินกันทุกวัน ไม่งั้นคนจะซื้อตุน เค้าก็ขายไม่ได้...อะคริ อะคริ (แต่ก็จริงเค้ามาส่งทุกวัน จะซื้อตุนทำไม ชิมิ)

- ถ้าเก็บที่อุณหภูมิ 10 องศา จุลินทรีย์จะหลับ แล้วช่วงที่เราเอาออกมาดื่ม ณ อุณหภูมิห้อง 37-38 องศา มันจะตื่นก็พร้อมจะทำงานให้ร่างกายเราทันที

- ถ้าตู้เก็บความเย็นไม่พอ หรือวางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง จุลินทรีย์อาจมีปริมาณมากกว่าที่ระบุไว้ข้างขวด เพราะมันเติบโตขยายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ แต่ตัวพ่อตัวแม่จะเริ่มอ่อนแอลง เพราะออกลูกออกหลานจนเหนื่อย ....ฉะนั้นให้รีบๆ  กินซะ

-  แต่ถ้าคุณปล่อยให้ยาคูลท์ตากแดด จุลินทรีย์จะตาย ยังกินได้อยู่นะ แต่ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ...



credit:
www.yakultthailand.com
 board.postjung.com/
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...