Wednesday, November 30, 2011

กินอะไรดี? เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่

“อาหารคือยา” นับเป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความเชื่อในพลังแห่งการเยียวยาของอาหาร คนสมัยโบราณจึงกินอาหารตามฤดูกาล เพราะเชื่อว่าเหมาะกับสภาพร่างกายในช่วงนั้น เช่น กินแตงโมในหน้าร้อน เพื่อเติมน้ำให้กับร่างกาย และไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อยมาก หรือกินซุปร้อนๆ ในหน้าหนาว เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น แล้วสำหรับหน้าฝนซึ่งไข้หวัดมักถามหาอย่างเช่นตอนนี้ เราควรจะกินอะไรกันดี ร่างกายจึงจะแข็งแรง ปลอดหวัด



กินอะไรดี เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
(What to Eat When You Have the Flu)



รู้จักประโยชน์ของสารอาหาร
สารอาหารเป็นส่วนประกอบพิเศษของอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ร่างกายเติบโต และแข็งแรง สารอาหารประกอบด้วยวิตามิน เกลือแร่ กรดไขมัน กรดอะมิโน และน้ำ รวมถึงแหล่งของพลังงาน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน สารอาหารบางอย่างร่างกายสร้างเองได้ แต่ก็มีสารอาหารอีกหลายชนิดที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ด้วยเหตุนี้การขาดสารจึงนำไปสู่การเจ็บป่วยได้

โปรตีน อาหารพื้นฐานสำคัญ
ไม่ว่าคุณจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ก็ตาม โปรตีนจัดเป็นสารอาหารจำเป็นที่จะช่วยรักษาและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเนื้อแดงที่ไม่มีไขมัน เนื้อสัตว์ปีก ปลา พืชตระกูลถั่ว ผลิตภัณฑ์นม ไข่ และถั่วต่างๆ ถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี สำหรับปริมาณโปรตีนที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน คือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ผู้หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรต้องการโปรตีนมากขึ้นอีก 6 กรัมต่อวัน

นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง จะทำให้เราได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ อย่างเช่นวิตามินบี6 และวิตามินบี 12 ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง โดยวิตามินบี 6 จะอยู่ในอาหารโปรตีนจำพวกถั่ว เนื้อวัว รวมถึงยังพบในมันฝรั่ง มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ธัญพืช (เช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าว) ส่วนวิตามินบี 12 มีในเนื้อแดง ตับ นม ปลา เต้าเจี้ยว น้ำปลา กะปิ

ซีลีเนียม (selenium) และสังกะสี ก็เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยรักษาระบบภูมิคุ้นกันให้แข็งแรงด้วย โดยอาหารโปรตีนที่มีแร่ธาตุทั้ง 2 ชนิด ได้แก่ ถั่ว เนื้อวัว และสัตว์ปีก

ฟลาโวนอยด์เสริมภูมิต้านทาน
สารฟลาโวนอยด์เป็นหนึ่งในสารอีก 4,000 ชนิดที่ทำให้ผักและผลไม้มีสีต่างๆ โดยมีการค้นพบว่าสารฟลาโวนอยด์ที่พบในรกส้ม (เยื่อขาวๆ ที่กลีบส้ม) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และยังเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบฟลาโวนอยด์ในมะนาวอีกด้วย

สารอาหารที่ช่วยต่อต้านการติดเชื้อ
สารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อ คือกลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งมีมากในเนื้อแตงโม และยังพบในพืชตระกูลผักกาด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี บรอคโคลี

อาหารที่ควรกินและหลีกเลี่ยงเมื่อมีน้ำมูก
สำหรับบางคน ผลิตภัณฑ์นมจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมูกมากขึ้น ถ้าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมสัก 2-3 วัน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นมอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนหนักขึ้นได้

ขณะที่น้ำส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำส้มที่มีเนื้อส้มด้วยจะอุดมด้วยวิตามินซีและกรดโฟลิก ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นักวิจัยบางคนจึงแนะนำว่า วิตามินซี น่าจะมีส่วนช่วยลดเวลาป่วยจากหวัดและไข้หวัดใหญ่

อาหารและเครื่องดื่มเมื่อมีอาการคลื่นไส้
วิธีที่ดีที่สุด เมื่อคุณรู้สึกคลื่นไส้ หรืออาเจียนตอนเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ คืองดการกินอาหาร แต่ควรจิบน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ รวมถึงควรจะดื่มเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้ น้ำซุปผัก น้ำขิง เครื่องดื่มเกลือแร่ โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ เช่น ครั้งละ 1 แก้ว (120-240 ซีซี) สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 30 ซีซี (หรือน้อยกว่า) สำหรับเด็ก

นอกจากนี้การดื่มชา(ที่ปราศจากกาเฟอีน)ผสมกับน้ำผึ้ง ก็จะช่วยเคลือบลำคอและบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดี จำไว้ว่าเครื่องดื่มอุ่นๆ จะช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งมากกว่าการดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ และหากกระเพาะอาหารของคุณทำงานได้ดีขึ้นก็ควรลองรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีรสจืด เช่น กล้วย ข้าวต้มอ่อนๆ เพื่อทำให้ระบบการย่อยอาหารกลับมาทำงานได้ตามปกติ และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร

ซุปไก่ช่วยแก้หวัดได้เหมือนกัน
วารสาร Chest ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยที่ยืนยันว่า ซุปไก่มีผลช่วยในการต่อต้านการติดเชื้ออย่างอ่อนๆ ได้ จึงช่วยลดการติดเชื้อบริเวณระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ จมูก คอหอย กล่องเสียง ฉะนั้นเมื่อคนในบ้านเป็นหวัด คุณแม่อาจจะลงมือเคี่ยวน้ำซุปให้กินอุ่นๆ ก็น่าจะช่วยได้เยอะทีเดียว

ที่สำคัญเมื่อฟื้นไข้แล้ว ก็อย่าลืมรับประทานอาหารที่หลากหลาย อุดมไปด้วยผักผลไม้หลากสีสัน รวมถึงพืชตระกูลถั่วที่อุดมไปด้วยสารพฤกษเคมี เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ที่สำคัญควรเข้านอนแต่หัวค่ำ และนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง เพื่อที่สุขภาพจะได้กลับมาแข็งแรงดังเดิม

ถ้าออกกำลังกายได้อีกอย่างก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณปลอดภัยจากหวัดได้มากขึ้น



credit: http://www.healthtoday.net

Sunday, November 27, 2011

เลือกรับประทานอาหารอย่างไร ให้หัวใจแข็งแรง (Heart healthy eating)

กินอย่างไรหัวใจแข็งแรง

ข่าวร้าย คุณหมอเพิ่งบอกคุณหยกๆ ว่า ระดับคอเลสเตอรอลของคุณสูงเกินไป ความดันโลหิตก็สูงขึ้น น้ำหนักก็เกินไป 15 กิโลกรัม ขณะที่ตัวคุณเองก็จำไม่ได้ว่าออกกำลังกายครั้งสุดท้ายเมื่อไร คุณหมอจึงยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง คุณจะต้องทุกข์ทรมานจากโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ข่าวดีก็คือ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจะช่วยให้สถานการณ์ทางด้านสุขภาพของคุณดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเลิกสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และที่ขาดไม่ได้คือ "การเปลี่ยนแปลงในเรื่องอาหารการกิน"

เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวอย่างเนื้อแดง จะทำให้ระดับไขมันคอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด ขณะที่อาหารที่มีเกลือโซเดียมมากจะทำให้ความดันโลหิตสูง รวมถึงอาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบและโรคหัวใจ แต่การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั้นจะช่วยให้คุณแข็งแรง ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่นๆ ถ้าหากว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้

กินปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน หรือปลาไทยๆ อย่างปลาสวาย ปลาทู ก็อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบ และทำให้ระดับไขมันคอเลสเตอรอลลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม

เลือกใช้น้ำมันและไขมันที่ดี ไขมันมีมากมายหลายประเภท เช่น

ไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์ เนย น้ำมันมะพร้าว จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ ซึ่งหากคุณมีคอเลสเตอรอลสูงก็ควรหลีกเลี่ยงการกินไขมันประเภทนี้ไว้ก่อนจนกว่าคอเลสเตอรอลจะต่ำลงและมีน้ำหนักที่เหมาะสม ฉะนั้นหากคุณพิสมัยการกินเนื้อแดงก็ขอให้หันไปหาแหล่งโปรตีนอื่นๆ เช่น พืชตระกูลถั่ว ถั่วชนิดต่างๆ หรืออาหารทะเล แทน

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) พบในน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันคาโนล่าร์ รวมถึงในอัลมอนด์ และอะโวคาโด โดยไขมันชนิดนี้จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดโดยจะลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (แอลดีแอลคอเลสเตอรอล) แต่ไม่ลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดดี (เอชดีแอลคอเลสเตอรอล) ฉะนั้นหากปรุงอาหารครั้งต่อไปควรเลือกใช้น้ำมันเหล่านี้

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fat) ประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็น 2 ชนิด คือ กรดไขมันไลโนเลอิก หรือที่รู้จักกันในนามของ โอเมก้า-6 และกรดไขมันอัลฟา-ไลโนเลนิก หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า โอเมก้า-3 ซึ่งคนส่วนมากจะได้รับโอเมก้า-6 เพียงพอจากอาหารที่รับประทาน แต่มักได้รับโอเมก้า-3ไม่เพียงพอ จึงควรกินปลาอันเป็นแหล่งสำคัญของโอเมก้า-3 หรือใช้วอลนัท น้ำมันแฟล็กซีด น้ำมันคาโนล่า ในการปรุงอาหาร

เพิ่มใยอาหาร ใยอาหารชนิดที่อุ้มน้ำดี อย่างเช่นใยอาหารที่พบในผักคะน้า ถั่วฝักยาว ใบกุยช่าย แครอท หรือในผลไม้อย่างมะม่วงดิบ กล้วย ส้ม เป็นใยอาหารที่จะช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ขณะที่ใยอาหารที่พบในธัญพืชไม่ขัดสีจะช่วยควบคุมการดูดซึมน้ำตาล รวมถึงช่วยให้รู้สึกอิ่ม และช่วยให้ระบบการย่อยอาหารแข็งแรงด้วย

ถั่วเหลือง ถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ คุณจึงควรหันมาดื่มนมถั่วเหลือง หรือใช้เต้าหู้ หรือแป้งจากถั่วเหลืองในการปรุงอาหาร

เลือกแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี ควรอยู่ห่างๆ จากอาหารรสหวาน อย่างลูกอม ขนมหวาน เค้ก หรือคุกกี้ เพราะอาหารที่มีน้ำตาลสูงจะเพิ่มไตรกลีเซอไรด์ และทำให้โรคหัวใจแย่ลง สำหรับแหล่งคาร์โบไฮเดรตคุณภาพดีก็อย่างเช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีท รวมถึงผักและผลไม้หลากหลายสี ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีต่างๆ ที่ดีต่อสุขภาพ เราจึงควรรับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้น

เลือกแหล่งโปรตีนที่ดี อาหารโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยให้หัวใจแข็งแรงด้วย ฉะนั้นจึงควรเลือกรับประทานเนื้อไม่ติดมัน ปลา โปรตีนจากพืช อย่างเช่น พืชตระกูลถั่ว ถั่วต่างๆ และเมล็ดธัญพืช ซึ่งพืชที่มีโปรตีนเหล่านี้ยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่ดีต่อสุขภาพด้วย ส่วนเนื้อแดง แม้ว่าจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและเกลือแร่ แต่ก็มีไขมันอิ่มตัวที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ฉะนั้นหากต้องการรับประทานเนื้อแดง ก็ควรเลือกในส่วนที่มีไขมันต่ำ และควรรับประทานเพียงชิ้นเล็กๆ แต่ควรกินปลาอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และกินพืชที่มีโปรตีนทุกวัน

เลือกวิธีปรุงอาหารที่เหมาะสม นอกจากการนึ่ง การย่างแล้ว การผัดหรือทอดด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าเพียงเล็กน้อยก็ยังเป็นวิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าการทอดในน้ำมันปริมาณมาก ส่วนไก่ควรเลาะบริเวณที่เป็นหนังออก แล้วใช้วิธีการอบแทนการทอด เช่นเดียวกับปรุงอาหารประเภทปลา ส่วนการนึ่ง จะช่วยรักษาคุณค่าของสารอาหารในผักได้ดีกว่า ที่สำคัญอย่าใส่ซอสปรุงรสมากจนเกินไป หรืออาจจะเติมเกลือเพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติแทน

ลดเกลือโซเดียม ใช้เครื่องเทศหรือสมุนไพรในการปรุงรสอาหารแทนการใช้เกลือโซเดียมในปริมาณมากๆ ที่สำคัญควรอ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียดเมื่อเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูป เพราะส่วนมากอาหารเหล่านี้มักใส่เกลือโซเดียมในปริมาณสูง

รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ การรับประทานอาหารในขนาดหรือปริมาณที่พอเหมาะ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง เพราะการรับประทานอาหารในปริมาณมากเกินไป ทำให้คุณได้รับแคลอรีล้นเกิน ดังนั้นหากจะรับประทานเนื้อสัตว์ ควรเลือกชิ้นที่ใหญ่ไม่เกินขนาดของไพ่ 1 สำรับ ส่วนพาสต้าหรือมันฝรั่งไม่ควรมีปริมาณมากกว่าขนาดของลูกเบสบอล สำหรับผักใบเขียว หรือผักสลัดควรรับประทานไม่น้อยกว่า 2 ฝ่ามือ และไม่ควรราดด้วยมายองเนสที่เข้มข้น

พึงระลึกไว้ว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารอาจจะต้องใช้เวลา แต่หากทำได้ก็แสนจะคุ้มค่ากับความอดทน เพราะจะได้สุขภาพและหัวใจที่แข็งแรงเป็นรางวัลตอบแทนนะค่ะ


credit: http://www.healthtoday.net

Wednesday, November 23, 2011

"ดื่มชา" มีประโยชน์แต่ก็มีโทษมหันต์! (How to drink tea)

"ดื่มชา" มีประโยชน์แต่ก็มีโทษมหันต์!

คุณทราบไหมว่า ในปีหนึ่งๆ คนไทยบริโภคน้ำตาลเกินปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 4-5 เท่า โดยกำหนดไว้ที่ปริมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน แต่คนไทยกินมากกว่าถึง 18-20 ช้อนชาต่อวัน ยิ่งในช่วงกระแสคลั่ง “น้ำชา” กำลังรุนแรง จะชาเขียว ชาขาว หรือชาอะไรก็ช่าง ในขวดชาพร้อมดื่มทั้งหลายที่ประเดประดังมาหลอกล่อเราอยู่นี้ มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากปัญหาเรื่อง “น้ำตาล” ที่มากับชาพร้อมดื่มทั้งหลายแล้ว ยังมีข้อควรรู้และข้อพึงระวังในการดื่มชาที่สำคัญ ได้แก่


1. ไม่ควรดื่มชาขณะกินยา ในใบชามีกรดแทนนิก (Tannic Acid) ประกอบอยู่ ยิ่งใบชาเกรดต่ำก็ยิ่งมีกรดแทนนิกสูง กรดนี้จะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร ฉะนั้นจึงต้องไม่ดื่มน้ำชาร่วมกับยา เพราะกรดในน้ำชาอาจจะทำให้สรรพ สารต่างๆ ในน้ำชาอาจทำปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ต่อยาที่กินเข้าไป อาจทำให้คุณสมบัติของยาเจือจางหรือเสื่อมสภาพลง หรือขั้นร้ายแรงอาจกลายเป็นสารพิษได้ ถ้าหากอยากดื่มควร ดื่มก่อนหรือหลังทานยาประมาณ 2 ชั่วโมง

2. ไม่ควรดื่มชาก่อนนอน เพราะคาเฟอีนในน้ำชาจะทำให้นอนไม่หลับ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน สตรีมีครรภ์ คนชรา และเด็กเล็ก

3. ไม่ควรดื่มชาร้อนจัด เพราะการดื่มของร้อนจัดมีผลข้างเคียงต่อช่องปาก ลำคอ ลำไส้ได้ อาจทำให้เนื้อบางส่วนในช่องปากตาย และอาจเป็นต้นเหตุกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้

4. ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย ไม่ควรดื่มน้ำชามาก เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อยและไตต้องทำงานหนักขึ้น ขณะที่ประสิทธิภาพของไตยังทำงานได้ไม่เต็มที่

5. เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรดื่มน้ำชา เพราะกรดแทนนิกเมื่อรวมตัวกับธาตุเหล็กในกระเพาะอาหารและลำไส้ จะกลายเป็นสารที่ไม่สามารถละลายได้ ทำให้เด็กเล็กไม่เติบโต มีอาการขาดธาตุเหล็กและเป็นโรคโลหิตจางได้

6. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ ผู้ป่วยที่หลอดเลือดแดงใหญ่ในหัวใจอุดตันไม่ควรดื่มน้ำชาเข้มข้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป หากความดันโลหิตขึ้นสูงมาก หรือหัวใจถูกกระตุ้นมากเกินขีดจะเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างรวดเร็วฉับพลัน

7. ผู้ที่มีไข้สูง ไม่ควรดื่มน้ำชา เพราะด่างในน้ำชาจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จึงยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้น กรดแทนนิกในน้ำชายังส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาได้น้อยกว่าปกติ ทำให้ระบบการขับเหงื่อของร่างกายทำงานบกพร่อง คนที่เป็นไข้ซึ่งต้องการการขับเหงื่อเพื่อระบายความร้อนจึงไม่ควรดื่มชานั่นเอง

8. ปกติสารโพลีฟีนอล ในน้ำชาเขียวจะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ แต่ถ้าดื่มชาที่เข้มข้นมากเกินไปจะทำให้ท้องผูก

9. ในชาเขียวมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 30-40% ของกาแฟ ถ้าดื่มมากๆ ก็จะทำให้ใจสั่น ตาลาย มึนงงเหมือนกับดื่มกาแฟเช่นกัน

Sunday, November 20, 2011

เคล็ดลับในการทานอาหาร เพื่อให้นอนหลับสบายตลอดคืน เคล็ดลับ การทานอาหาร เพื่อให้นอนหลับสบายตลอดคืน (Food tips for sleeping throughout the night)

อาหารทุกมื้อ มีความสำคัญกับการนอน

การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกาย เพราะช่วยเพิ่มและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้สมบูรณ์แข็งแรง ขณะที่ผลเสียของการนอนไม่เพียงพอคือทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อมสภาพ น้ำหนักตัวเพิ่ม ไม่สดชื่น อ่อนล้าและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ซึ่งหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้คุณนอนหลับได้ดีก็คือ อาหารทุกมื้อที่คุณรับประทานเข้าไปนั่นเอง

อาหารเช้า
การวางแผนรับประทานอาหารเพื่อการนอนหลับที่ดีนั้น ไม่ได้เริ่มที่มื้อก่อนนอน หรือมื้อเย็นเพียงมื้อเดียว แต่ต้องเตรียมความพร้อมกันตั้งแต่มื้อแรกหรืออาหารเช้ากันเลย เพราะอาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว พร้อมลุย เนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ เราจึงควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีน เนื้อสัตว์ ไข่ ข้าว แป้ง รวมทั้งอาหารที่มีไขมันในมื้อเช้ามากกว่ามื้ออื่นๆ ที่สำคัญนอกจากจะรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าและสมองมีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลงแล้ว การไม่ได้รับประทานอาหารเช้าจะทำให้เรารู้สึกหิวมากในมื้อต่อไป และมักจะกินอะไรที่อยู่ตรงหน้า โดยขาดความยับยั้ง

อาหารว่างเช้า
สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือไม่เคยชินกับการรับประทานอาหารเช้าในปริมาณมาก ควรมีอาหารว่างระหว่างมื้อเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย เช่น แซนด์วิช ขนมปัง ซาลาเปา ขนมจีบ หรือผลไม้ต่างๆ ยกเว้นผลไม้ดอง

อาหารกลางวัน
พลังงานของอาหารมื้อนี้ควรน้อยกว่าอาหารมื้อเช้า โดยอาจจะเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงจากข้าว หรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก ขนมปังโฮลวีท และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน รวมถึงควรมีผัก และผลไม้เป็นประจำ หรืออาจจะกินขนมสลับบ้างก็ได้ แต่ควรเน้นขนมที่ทำจากถั่ว เช่น ถั่วเขียวต้ม ถั่วแปบ เต้าส่วน เพราะมีแมกนีเซียมสูง ส่วนครื่องดื่มควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมที่มีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม

อาหารว่างบ่าย
เป็นมื้อที่มีความสำคัญต่อสุขภาพการนอนที่ดี ดังนั้นตั้งแต่มื้อนี้เป็นต้นไปเราไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ ชา โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง แต่ถ้ารู้สึกง่วงให้ดื่มชาเขียวอ่อนๆ แทน หรือจะรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ถั่วต่างๆ ก็ได้ รวมถึงควรเลือกดื่มนมวัวพร่องไขมัน นมถั่วเหลือง โยเกิร์ต ซึ่งนอกจากจะทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีแคลเซียมสูง ป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งเป็นปัญหารบกวนการนอนในเวลากลางคืน

อาหารเย็น
เป็นมื้อที่ใกล้เวลานอนที่สุด มีข้อแนะนำที่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงเพื่อช่วยให้หลับอย่างสบาย ดังนี้
  • กินอาหารเย็นตรงเวลา เพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชิน และควรกินก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนักในเวลานอนแล้ว ยังช่วยป้องกันและบรรเทาอาการกรดไหลย้อน ซึ่งจะมีผลต่อคุณภาพของการนอนเป็นอย่างมาก

  • ลดไขมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูง อาหารทีมีฤทธิ์เป็นธาตุร้อน เช่น อาหารทอด อาหารมัน แกงกะทิ ขนมที่มีครีมเข้มข้น อาหารเผ็ดจัด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารดิบ น้ำอัดลม เพราะอาหารเหล่านี้จะย่อยยาก ร่างกายต้องใช้เวลาในการเผาผลาญนาน ทำให้ร่างกายตื่นตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนไม่หลับ ด้วยเหตุนี้มื้อเย็นจึงควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ซึ่งการปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ตุ๋น อย่างเช่น ซุป หรือ แกงจืด จะย่อยง่ายกว่าแกงกะทิ ผัดผัก ดังนั้นจึงควรเลือกปลานึ่ง ไข่ตุ๋น แทนปลาทอด หรือไข่เจียว รวมถึงเลือกเนื้อสัตว์ชนิดที่ไม่มีหนังและมัน สำหรับมื้อเย็น

  • จำกัดปริมาณผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งมักจะมีฤทธิ์ร้อน ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญมาก ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน ถ้าชอบรับประทานผลไม้เหล่านี้ก็ควรเลื่อนไปเป็นมื้อเช้า หรือมื้อกลางวันแทน นอกจากนี้ยังไม่ควรรับประทานผลไม้แทนอาหารเย็น รวมถึงไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือรับประทานผลไม้ครั้งละมากๆ เพราะสารอาหารหลักของผลไม้คือคาร์โบไฮเดรทหรือน้ำตาล แต่ควรเลือกรับประทานผลไม้แทนขนมหวานที่มีส่วนผสมของกะทิ

  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด มื้อเย็นเป็นมื้อที่มีเวลาในการรับประทานมากกว่ามื้ออื่น จึงถือเป็นช่วงจังหวะที่เราควรเคี้ยวอาหารหลายๆ ครั้ง ซึ่งจะเกิดผลดีต่อร่างกายคือ ทำให้อิ่มง่าย ไม่รบกวนการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมของกระเพาะอาหารและลำไส้

  • กินข้าว แป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก หรือโรยข้าวด้วยจมูกข้าวเป็นประจำทุกมื้อเย็น จะทำให้ร่างกายเก็บสะสมทริปโตเฟน (Tryptophan) และกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง ที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้นอนหลับได้ดี แต่ต้องรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ

  • เมนูปลา ถ้าร่างกายมีภาวะเครียดสูงทำให้นอนหลับยาก ดังนั้นลองเลือกเมนูจากปลาทะเล ซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลา และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่ต่อต้านความเครียด เช่น ข้าวต้มปลา ปลาผัดคี่นไช่ ปลาย่างซีอิ้ว ปลานึ่ง สเต็กปลา เป็นเมนูประจำสำหรับมื้อเย็น

  • ลดโซเดียม เกลือหรือโซเดียมทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ส่งผลให้ร่างกายกระสับกระส่ายนอนหลับยากขึ้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทีมีโซเดียมสูง เช่น ผลไม้ดอง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันฝรั่งทอดกรอบ รวมถึงการปรุงอาหารเค็มจัดและใส่ผงชูรสปริมาณมากด้วย

นอกจากความสำคัญของอาหารทุกมื้อแล้ว ยังมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ที่อาจจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้นดังนี้
  • ผลไม้ที่ช่วยให้หลับสบาย ได้แก่ กล้วย อินทผลัม ลูกพรุน ซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริปโตเฟน โดยสมองจะนำทริปโตเฟนไปสร้างสารเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งถ้าร่างกายมีสารตัวนี้เพียงพอ ก็จะเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งช่วยในการควบคุมการนอนหลับ ให้มีมากขึ้น ร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด อารมณ์ดี นอนหลับสนิทตลอดคืน โดยนอกจากในผลไม้แล้ว ทริปโตเฟนยังพบมากในนม เผือก มัน สาหร่ายทะเล และงา

  • เพิ่มวิตามิน B6 B12 เพราะวิตามินบี 6 มีความสำคัญในการสังเคราะห์เซโรโทนิน ขณะที่วิตามินบี 12 จะช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ซึ่งเมนูที่มีวิตามิน 2 ตัวนี้สูงก็คือ ข้าวโอ๊ตใส่นมสดและกล้วยหอม ซุปไก่มันฝรั่ง และตับบด

  • เครื่องดื่มและน้ำ ควรดื่มวันละ 6-8 แก้ว แต่อย่าดื่มมากก่อนเข้านอน เพราะอาจจะต้องลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ทำให้นอนต่อไม่ได้ ส่วนเครื่องดื่มที่ช่วยให้หลับสบาย ได้แก่ น้ำเก๊กฮวย ชาคาโมมายด์ น้ำมะตูมอุ่นๆ น้ำข้าวต้ม น้ำงาดำโดยผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย น้ำผึ้งซึ่งเป็นยาคลายเครียดอย่างอ่อนๆ จากธรรมชาติ

(Article: แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ)
credit: http://www.healthtoday.net/thailand/nutrition/nutrition_128.html

Friday, November 18, 2011

เมนูปลา "ทูน่าฟูผัดพริกขิง" (Tuna fried with red curry paste)

ปลาทูน่ากระป๋อง เป็นอาหารที่มี โปรตีนสูง ไขมันและโคเลสเตอรอลต่ำ เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่ ทั้งวิตามิน B12 ไอโอดีน ฟอสฟอรัส ซิลิเนียม สังกะสี และแคลเซียม อีกทั้งยังให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ คือ โอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ และยังช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันไขมันอุดตัดหลอดเลือด และป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก คนรักสุขภาพ เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัยค่ะ

ปลาทูน่ากระป๋องสามารถประกอบอาหารได้หลายอย่าง เหมือนกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ เมนูปลา "ทูน่าฟูผัดพริกขิง" เมนูง่ายๆ จากปลากระป๋องทูน่า ที่ทำออกมาแล้วอร่อยไม่แพ้เนื้อปลาทั่วไปค่ะ


ส่วนผสมที่ต้องเตรียม

- ปลาทูน่า 1 กระป๋อง

- พริกแกงแดง 1 ชต.

- น้ำมัน, น้ำปลา, น้ำตาล

- ถั่วฝักสั้น หั่นเป็นท่อนๆ

- ใบมะกรูด พริกแดง

วิธีทำ

- นำปลาทูนาใส่จาน เทน้ำมันออก เกลี่ยให้ฟู แล้วนำไปทอด

- หลังจากทอด ซับด้วยกระดาษ พักไว้

- ถั่วนำไปลวกก่อน

- ใส่น้ำมัน ผัดพริกแกงให้หอม

- ใส่น้ำ ใส่น้ำตาล น้ำปลา ปรุงรสตามชอบ

- ใส่เนื้อปลาทูน่าฟู

- ใส่ใบมะกรูด พริกแดง ผัดให้เข้า

- เสริฟใส่จาน ทานกะไข่เค็ม พอดีไม่มีไข่เค็ม เลยทานกะไข่ต้มก็อร่อยไปอีกแบบค่ะ


recipe credit: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pinkpanther&month=29-10-2009&group=2&gblog=9

Wednesday, November 16, 2011

อาหารบำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย หลังการบริจาคเลือด (After donating blood, What's best food to eat?)

สำหรับผู้ที่บริจาคโลหิต โดยปกติทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จะจัดยาเม็ดธาตุเหล็ก "เฟอร์รัสซัลเฟต" ให้กับผู้บริจาคโลหิตทุกท่าน สำหรับผู้บริจาคชายให้รับประทาน 1 เม็ด เป็นเวลา 15 วัน หลังอาหารเย็น สำหรับผู้บริจาคหญิง รับประทานวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 30 วัน หลังอาหารเย็น เพราะการบริจาคโลหิตแต่ละครั้ง จะทำให้ฮีโมโกลบิน ในร่างกายลดลงประมาณ 1 mg/dl (1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร)

ฉะนั้นผู้ที่บริจาคโลหิตจึงควรรับประทานธาตุเหล็ก เพื่อช่วยทดแทนการสูญเสียธาตุเหล็กจากการบริจาคโลหิต เพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้ธาตุเหล็กเสริมสร้างให้ไขกระดูกสร้างเม็ดโลหิตแดงมาทดแทนได้เร็วขึ้น การรับประทานยาธาตุเหล็ก จะทำให้อุจจาระเป็นสีดำ เพราะธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนผสมของยา ได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนกับอาหารในกระเพาะ จึงทำให้เกิดสีดำซึ่งเป็นเรื่องปกติ

การมีระบบโลหิตที่ดีจึงเป็นพื้นฐานหนึ่งของการมีสุขภาพดี อาหารหรือสารอาหารที่ช่วยบำรุงโลหิต จึงมีความจำเป็นต่อร่างกาย ควรให้ความสนใจและรับประทานในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ก็จะช่วยให้ระบบโลหิตในร่างกายของคุณหมุนเวียนได้ดี ส่งผลให้ผิวพรรณสดใส ไม่อ่อนเพลียและซีดจาง

อาหารบำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย หลังการบริจาคเลือด
(After donating blood, What's best food to eat?)

ขอควรปฏิบัติ หลังจากการบริจาคโลหิต
เป็นที่แน่นอนว่าร่างกายเราต้องรู้สึกอ่อนเพลียเป็นธรรมดา เนื่องจากร่างกายต้องสร้างเซลเม็ดเลือดขึ้นมาทดแทน ดังนั้น การดูแลตนเองอย่างถูกต้องหลังจากการบริจาคโลหิตจึงสำคัญต่อร่างกายที่สมบูรณ์เร็วขึ้น ดังนี้
  • ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน
  • หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต
  • ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม
  • ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อส กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
  • รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
ผักและผลไม้บำรุงเลือด

กลุ่มที่ 1 : ธาตุเหล็กสูง จำเป็นต่อการสร้างเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง เป็นตัวนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ได้แก่ ผักโขม ผักกูด ถั่วฝักยาว เห็ดฟาง พริกหวาน ใบแมงลัก ใบกะเพรา ยอดมะกอก และยอดกระถิน

กลุ่มที่ 2 : โฟเลตสูง สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ได้แก่ หน่อไม้ฝรั่ง ดอกกุยช่าย ตำลึง กะหล่ำดอก ถั่วเมล็ดแห้ง และส้ม

กลุ่มที่ 3 : วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโฟเลตและธาตุเหล็กจากพืชผักผลไม้ได้ดี ได้แก่ บรอกโคลี มะนาว ฝรั่ง มะขามป้อม และสตรอเบอร์รี่

นอกจากนี้ควรเสริมด้วย โยเกิร์ตไร้ไขมันรสธรรมชาติ และรับประทานปลา หรืออาหารทะเล สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้ได้วิตามินบี 12 ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง

หลังจากร่างกายได้บริจาคโลหิตออกไปแล้ว ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง เม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม ซึ่งทิ้งระยะไว้เพียง 3 เดือน ผู้บริจาคโลหิตก็จะสามารถทำการบริจาคโลหิตได้อีกครั้งหนึ่ง


credit: ข้อมูลจากนิตยสาร ชีวจิต, internet

Monday, November 14, 2011

วิธีทำภาชนะกระดาษ ใส่น้ำ และอาหารแห้ง ยามน้ำท่วม

รู้สึกเสียใจและหดหู่ใจสำหรับปัญหาน้ำท่วมครั้งรุนแรงในประเทศไทยครั้งนี้มาก และทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าเพื่อนมนุษย์เราลำบาก และทรมานแค่ไหนสำหรับบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม

เรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาไม่น้อยอย่างเช่นเรื่อง อาหารการกิน เชื่อว่าทุกคนต้องลำบากแน่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สะดวกสบายไปซะหมดเลยใช่ไหมหล่ะค่ะ วันนี้เรามีไอเดียการประดิษฐ์ ภาชนะใส่น้ำและอาหารแห้งแบบง่ายๆ และสะดวกในการทำและง่ายต่อการนำมาใช้ นั่นก็คือเทคนิคการพับกระดาษจากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง หรือที่เรียกว่า Origami Cups หรือ ภาชนะกระดาษ มาดูขั้นตอนและวิธีการทำกันเลยค่ะ อย่าลืมอุปกรณ์ ด้วยน่ะ ที่ต้องเตรียมมีดังนี้


อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
- กระดาษตัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส (จริงๆเป็นกระดาษอะไรก็ได้ แต่ต้องสะอาด เพราะว่าเราจะนำไปใส่อาหารค่ะ)

เมื่อเตรียมกระดาษพร้อมแล้ว เรามาเริ่มวิธีการพับกระดาษให้ออกมาเป็นภาชนะใส่ของกันเลยค่ะ

วิธีทำภาชนะกระดาษ ใส่น้ำและอาหารแห้งยามน้ำท่วม
(How To Make Origami Cups)


1. Fold your paper in half. Crease along line A-C.
(พับครึ่งที่กึ่งกลางกระดาษ จากจุด A-C)

2. Should now rest on D.
(จะเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมโดยที่จุด B และ D มาทบกันพอดี)

3. Place so folder side is nearest you. Bring point A over to E. (see figure 4).
(พับมุมแหลมที่ฐานของสามเหลี่ยม A ไปยังจุด E)

4. This is how your shape should look. Now fold point C over to F.
(พับอีกข้างเช่นเดียวกันกับข้อ 3 จากจุด C ไปยังจุด F)

5. Fold flap B down. Crease along line F-E. Now furn ypur shape over and fold down D. Crease along line F-E. Open your cup by pressing in sides D and E.
(พับสามเหลี่ยมด้านบนลงมา เสียบปลายกระดาษเก็บปลายให้เรียบร้อยทั้งสองด้าน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย)

สามารถดูวิธีการทำที่ชัดเจนได้อีกครั้งในวีดีโอด้านล่างนะค่ะ

Learn origami, how to make a Paper Cup




วิธีทำภาชนะกระดาษ ใส่น้ำและอาหารแห้งยามน้ำท่วม (How To Make Origami Cups)วิธีทำภาชนะกระดาษ ใส่น้ำและอาหารแห้งยามน้ำท่วม (How To Make Origami Cups)


credit: http://www.iurban.in.th/diy/how-to-make-origami-cups/

Friday, November 11, 2011

แนะวิธีปรุงอาหารลดเสี่ยงโรคขณะน้ำท่วม

(Cooking Safety during Floods)

ในช่วงวิกฤติน้ำท่วมสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญยามคับขันเช่นนี้ คือ การปรุงอาหาร เพราะหากเราประกอบอาหารไม่สะอาดจะยิ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายทำให้เจ็บป่วยได้ ดังนั้นใครที่ต้องการจะไปตั้งศูนย์ปรุงประกอบอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือปรุงอาหารรับประทานเองเคล็ดลับสุขภาพดีวันนี้มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการปรุงอาหารให้สะอาดถูกหลักอนามัยเพื่อป้องกันโรคมาฝากกันค่ะ

ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย ให้ความรู้ว่า การประกอบอาหารในจุดที่ให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วมจะต้องเน้นที่ความสะอาดปลอดภัย ซึ่งทางกรมอนามัยได้มอบให้ศูนย์อนามัยเขตในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ให้การสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการและคำแนะนำที่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลอาหาร และหลักโภชนาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือประชาชนที่รับผิดชอบจัดเตรียมและปรุงอาหารในพื้นที่ได้อย่างสะอาด ปลอดภัย และได้คุณค่าทางโภชนาการ โดยยึดตามเกณฑ์ที่กรมอนามัยกำหนดตั้งแต่อาหารสดต้องไม่มีกลิ่น อาหารแห้งต้องไม่มีเชื้อราและไม่นำอาหารกระป๋องที่บุบ บวม หมดอายุมาปรุงอาหาร

สำหรับพื้นที่ที่เราจะเลือกประกอบอาหารนั้นต้องเป็นพื้นที่หรือสถานที่ทำครัวที่ให้ไกลห้องส้วม และที่เก็บขยะ ที่ระบายน้ำเสียหรือที่เก็บสารเคมี โดยหลีกเลี่ยงการเตรียมหรือปรุงอาหารบนพื้น ควรมีโต๊ะเตรียมปรุงอาหารที่สูงจากพื้นป้องกันการปนเปื้อน ต้องทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบริเวณโต๊ะที่ใช้เตรียมปรุงอาหาร เตาหุงต้มอาหาร เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะเขียงควรแยกเขียงหั่นเนื้อ หั่นผักและอาหารปรุงสุก โดยเฉพาะเขียงที่ใช้หั่นเนื้อสัตว์ต้องล้างขจัดคราบไขมันด้วยน้ำยาล้างจาน แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด และห้ามนำผ้าที่สกปรกมาเช็ด เพราะจะเป็นสื่อที่นำเชื้อโรคมาปนเปื้อนอาหารที่มีการหั่น สับ บนเขียงได้

“ก่อนปรุงอาหารควรมีการล้างวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงทุกครั้ง โดยเฉพาะผักซึ่งอาจมีการปนเปื้อนคราบดินที่เกิดจากน้ำท่วมต้องล้างด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง ส่วนผักบางอย่าง เช่น คะน้า กะหล่ำ ถั่วฝักยาว หากมีคราบขาวจับที่กาบใบหรือฝักมากเกินไปให้ล้างน้ำหลาย ๆ ครั้งหรือแช่น้ำปูนใสนาน 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก่อนจะนำไปปรุงประกอบอาหาร ส่วนผู้ปรุงประกอบอาหารต้องปฏิบัติตนเองให้ถูกสุขลักษณะด้วย เช่น ล้างมือก่อนปรุงอาหาร ไม่ใช้มือจับอาหารปรุงสำเร็จโดยตรง ถ้ามือมีแผลต้องปิดแผลให้มิดชิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอาหารโดยตรง”

ส่วนการบรรจุอาหารที่ปรุงสุกแล้วเพื่อส่งต่อให้ผู้ประสบภัยรับประทานนั้นควรใส่ในภาชนะที่สะอาด ไม่ควรทิ้งระยะนานเกิน 2-4 ชั่วโมง หลังปรุงและบรรจุอาหาร ควรระบุวันและเวลาในการรับประทานให้ชัดเจนก่อนส่งให้กับผู้ประสบภัย เพราะหากเก็บนานเกินไปอาจทำให้อาหารบูดและเสียได้ โดยอาหารที่ปรุงควรเป็นอาหารประเภททอดหรือผัดเพราะไม่บูดและเสียง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ลาบ ยำ พล่าต่าง ๆ

นอกจากนี้การกำจัดขยะในจุดปรุงอาหารจะต้องมีถังขยะใส่เศษอาหารทำด้วยวัสดุไม่รั่วซึม เช่น พลาสติก หากใช้ปี๊บควรมีถุงพลาสติกรองอีกชั้นหนึ่ง ถังขยะต้องมีฝาปิดและมีการแยกขยะเป็นสองถังคือ ถังขยะเปียกและถังขยะแห้งเพื่อง่ายต่อการกำจัด ทั้งนี้สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้ส้วมเนื่องจากประชาชนที่อาศัยในศูนย์พักพิงมีจำนวนมาก ผู้ใช้จึงต้องให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมการใช้ส้วมสาธารณะอย่างถูกต้อง โดยไม่ทิ้งวัสดุอื่นนอกจากกระดาษชำระลงโถส้วม ราดน้ำหรือกดชักโครกทุกครั้งหลังการใช้ส้วม และล้างมือทุกครั้งหลังการใช้ส้วม เพื่อสุขอนามัยที่ดีและป้องกันโรคในช่วงน้ำท่วม ได้แก่ อุจจาระร่วง บิด เป็นต้น

เมื่อทราบแบบนี้แล้ว อย่าลืมดูแลเรื่องความสะอาดในการปรุงอาหารที่เราจะรับประทานหรืออาหารที่ปรุงให้แก่ผู้ประสบภัยให้มีความปลอดภัยด้วยนะคะ เพราะจะได้ไม่เป็นการซ้ำเติมสุขภาพของตัวเองและผู้ประสบอุทกภัยนั่นเอง.


credit: http://www.green.in.th/

Thursday, November 10, 2011

รวมเคล็ดลับวิธีปรุง "ปลากระป๋อง" ให้ได้สารพัดเมนูที่คาดไม่ถึง

ปลากระป๋อง ของที่หลายๆคนมองข้าม เมื่อยามที่ชีวิตมีทางเลือกและพอจะมีกำลังในการเลือกซื้อหาอาหารมารับประทานได้มากมาย นั่นเป็นเพราะปลากระป๋องมันช่างเป็นเมนูที่แสนจะธรรมด๊า..ธรรมดา ถ้าไม่สุดๆจริงๆคงไม่คิดหามารับประทานกัน แต่ใครจะรู้ว่าในยามที่ขาดแคลน "ปลากระป๋อง"นี่แหละ คือพระเอกตัวจริง!


ปลากระป๋อง สามารถเนรมิตเมนูอาหารได้หลายอย่างสารพัด อย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เราลองมาดูกันนะค่ะว่า อาหารที่แสนจะธรรมดาอย่างปลากระป๋องนี้ จะสามารถสร้างสรรค์เป็นเมนูอาหารจานเด็ดอะไรได้บ้าง



รวมเคล็ดลับวิธีปรุง "ปลากระป๋อง" ให้ได้สารพัดหลากหลายเมนูที่เราคิดไม่ถึง
(Canned Fish Recipes)


เมนู "ผัดกระเพราปลากระป๋อง"

ตำพริกขี้หนูสดรวมกับกระเทียม นำลงไปเจียวในกระทะมีน้ำมัน พอมีกลิ่นหอม ใส่เนื้อปลากระป๋องลงในกระทะ เติมน้ำปลา น้ำตาลนิดหน่อย ใส่ใบกระเพรา เคล้าไปมา แล้วตักขึ้น เท่านี้ก็ได้เมนูเด็ดไว้รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วหละค่ะ ถ้าจะเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้นด้วยไข่ดาวหอมๆ ก็ไม่ผิดกติกานะค่ะ

เมนู "ยำปลากระป๋อง"

เมนู ยอดนิยมที่ทุกคนต้องนึกถึงเมื่อเห็นปลากระป๋องค่ะ วิธีทำก็ง่ายแสนง่ายโดย นำปลากระป๋องทั้งเนื้อและน้ำเทใส่ในถ้วย ผสมหอมแดงซอย พริกขี้หนูหั่น น้ำมะนาว น้ำปลา และน้ำตาลทรายนิดหน่อย(น้ำตาลปี๊บก็ได้) แล้วโรยด้วยผักชี

เมนู "น้ำพริกปลากระป๋อง"

วิธีทำน้ำพริกปลากระป๋องไม่ยากค่ะ เริ่มจาก หั่นพริก ซอยหอม ใส่ครก นำเนื้อปลากระป๋องมายีกับกะปิรวมกันในครก เติมน้ำมะนาว และน้ำตาล ปรุงรสตามใจชอบ เท่านี้ก็ได้รสชาติที่แปลกใหม่ไปอีกแบบค่ะ

เมนู "ปลากระป๋องชุบไข่"

เมนูนี้วิธีทำแสนง่ายด้วยการ นำชิ้นเนื้อปลากระป๋อง ไปชุบไข่และชุบเกล็ดขนมปัง แล้วนำไปทอดในน้ำมัน(สำหรับทอด)ร้อนๆ พอเหลืองกรอบ ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน กินกับซอสพริก อร่อยเด็ดไม่แพ้เทมปุระแบบญี่ปุ่นเลยนะค่ะ

เมนู "ปลากระป๋องปิ้ง"

อุปกรณ์มีเพียงแค่ใบตอง ถ่าน เตาถ่านและไม้ขีดไฟ เริ่มจากการนำชิ้นปลากระป๋องไปห่อด้วยใบตอง 1 ชิ้นต่อปลา 1 ตัว พับใบตองรอบตัวปลาสัก 2 รอบ กลัดหัวและท้ายใบตองให้แน่นนำไปปิ้งด้วยความร้อนจากเตาถ่านอ่อนๆ พอมีกลิ่นหอม ยกขึ้นจากเตา

เมนู "ข้าวผัดปลากระป๋อง"

เริ่ม จากผัดกระเทียมกับน้ำมันให้มีกลิ่นหอม ตามด้วยข้าวโพดอ่อน และปลากระป๋อง ยีเนื้อปลาให้แตกออกเป็นชิ้นๆ ใส่ข้าวสวยลงไปผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศจากตัวปลากระป๋อง ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย น้ำตาล ผัดส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ตามด้วยพริกไทยเป็นอย่างสุดท้าย

ตักข้าวขึ้นใส่ถ้วยแล้วคว่ำวางบนจาน เพิ่มคุณค่าทางอาหารตกแต่งจานด้วยต้นหอม ผักชี มะเขือเทศ เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟค่ะ

เมนู "ลาบปลากระป๋อง"

ตั้งกะทะหรือหม้อบนเตาไฟ โดยใช้ไฟอ่อน จากนั้นคั่วปลากระป๋องพร้อมน้ำซอสในกระป๋อง จนเดือดยกลงใส่ส่วนผสม ข้าวคั่ว พริกป่น น้ำปลา น้ำมะนาว ต้นหอม และผักชี เท่านี้ก็กลายเป็นเมนูลาบปลากระป๋องแสนอร่อยแล้ว ถ้าให้ครบเครื่องก็ต้องรับประทานร่วมกับผักสดค่ะ

เมนู "ต้มยำปลากระป๋องกับหัวปลี"

เครื่องปรุงและวิธีการปรุง ทำอย่างเดียวกับต้มยำทั่วไป เพียงแต่เปลี่ยนจากกุ้งเป็นปลากระป๋อง เคล็ดลับของความอร่อยอยู่ที่ ใช้หัวปลีที่อ่อนมากๆ และใช้น้ำมะนาวผสมน้ำมะขามเปียกเพื่อให้รสชาติเปรี้ยวเข้ม

เมนู "ปลากระป๋องราดพริก"

แยกปลากระป๋องกับน้ำในกระป๋อง เทน้ำใส่ในถ้วยนำปลากระป๋องไปทอดในกระทะ ไฟปานกลาง ทอดจนกรอบ แล้วตักขึ้นใส่จานพักรอไว้ นำเครื่องแกงผัดเผ็ด ลงผัดกับน้ำมันเล็กน้อยพอให้หอม แล้วนำน้ำปลากระป๋องที่แยกเอาไว้ ลงผัดกับเครื่องแกง เติมน้ำปลาและน้ำตาลเล็กน้อย แล้วจึงนำส่วนผสมที่ได้ไปราดลงบนตัวปลากระป๋องทอดโรยด้วยใบมะกรูดหั่นฝอยหรือใบกะเพราะทอดกรอบ ...เมนูนี้น่ากินไม๊หละ่ค่ะ

เมนู "ปลากระป๋องผัดวุ้นเส้น"

เริ่มจากนำวุ้นเส้นแช่น้ำให้นิ่ม ตำหอมแดงกับเม็ดพริกไทย แล้วนำส่วนผสมที่ได้ไปผัดในน้ำมันจนมีกลิ่นหอม ใส่วุ้นเส้นที่นิ่มแล้วลงไปผัด ตามด้วยปลากระป๋องทั้งเนื้อและน้ำในปลากระป๋องนิดหน่อย ลงไปผัดเติมน้ำปลา น้ำตาล และพริกขี้หนูบุบลงไปนิดหน่อย ปรุงรสตามใจชอบ

เมนู "ข้าวหลามปลากระป๋อง"

ข้าวหลามปลากระป๋อง เมนูนี้อาจจะฟังแปลกๆสักหน่อย แต่เป็นเมนูที่น่าลองทำทานดูทีเดียวนะคะ่ วิธีการทำ ก็คล้ายการทำข้าวหลาม โดยนำข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วเคล้ากับน้ำกะทิ แล้วนำไปใส่สลับกันกับเนื้อปลากระป๋องเป็นชั้นๆในกระบอกไม้ไผ่แล้วนำไปย่างไฟ ทำเหมือนกับทำข้าวหลาม แต่ โดยไม่ต้องย่างไฟนานนะค่ะ เพราะว่าของที่ใส่ลงไปนั้นก็ทำสุกมาแล้วค่ะ

เมนู "ยำปลากระป๋องไข่เค็ม"

นำเนื้อปลากระป๋อง กับไข่เค็มต้มสุก มาคลุกรวมกัน เติมหอมแดงซอย พริกขี้หนูหั่น และบีบมะนาวลงไป ปรุงรส ให้ออกเปรี้ยวนำ เค็มตามค่ะ ทานกับข้าวสวยได้ กับข้าวต้มยิ่งดี

เมนู "ปลากระป๋องผัดไข่"

นำเนื้อปลากระป๋องผัดในกระทะกับน้ำมัน พอหอมตอกไข่ไก่ลงไป 1 ฟอง ผัดเคล้ากัน ปรุงรสตามใจชอบอาจเติมเค็มเติมหวานเพิ่มได้ ถ้าใครชอบรสแซ่บ ก็สามารถหั่นพริกขี้หนูโรยเพิ่มได้ค่ะ

เมนู "ต้มจืดวุ้นเส้นปลากระป๋อง"

วิธีการทำคือ แช่วุ้นเส้นในน้ำให้นิ่ม จากนั้นนำปลากระป๋องทั้งเนื้อและน้ำ พร้อมเติมน้ำ 1 แก้วลงในหม้อ ใส่ผักกาดดองกระป๋องทั้งเนื้อและน้ำ ลงไปต้มให้สุก โดยผักกาดดองควรหั่นให้มีขนาดเล็กพอดีคำเสียก่อน

ตามด้วยวุ้นเส้นที่แช่จนนิ่มแล้ว ต้มให้เดือด จากนั้นก็ปรุงรสด้วยน้ำปลาเล็กน้อยให้รสชาติกลมกล่อม แล้วหั่นต้นหอม ผักชี เป็นท่อนๆ ใส่ลงไปในหม้อแล้วปิดไฟ พร้อมเสริ์ฟ

เมนู "มาม่าปลากระป๋อง"

ต้มมาม่าในหม้อให้สุก แล้วเทน้ำออกให้หมดเทเนื้อปลากระป๋องพร้อมน้ำในกระป๋องเล็กน้อย ลงในหม้อมาม่าตั้งไฟให้ร้อนเล็กน้อย แล้วเติมผงเครื่องปรุงมาม่าลงไปคลุกเคล้ากัน ปรุงรสตามชอบ จะได้มาม่าแห้งปลากระป๋อง

เมนู "ปลากระป๋องผัดขิงดอง"

เจียวหอมแดงซอยในกระทะ พอเหลืองหอมเทเนื้อปลากระป๋องลงไปผัด พร้อมกับใส่ขิงดองขนาดชิ้นเล็กๆไม่ต้องเติมน้ำขิงดอง แล้วปรุงรสตามใจชอบ

Tuesday, November 8, 2011

เมนูช่วงน้ำท่วม : มาม่าปลากระป๋อง

(Instant noodle with canned fish)
"มาม่าปลากระป๋อง" เมนูประยุกต์สุดเก๋ ช่วงน้ำท่วม ...แน่นอนว่าช่วงน้ำท่วมเช่นนี้ การหาซื้ออาหารสดมาทำกินนั้นแสนยากเย็น สิ่งที่พอจะหาตุนได้ก่อนน้ำท่วมก็ไม่พ้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "มาม่า" ไข่ ปลากระป๋อง ผักดองกระป๋อง และอีกหลากหลายของแห้งที่สามารถเก็บไว้ได้นาน

แน่นอนว่าเมื่อของมันมีจำกัด เมนูอาหารก็ซ้ำซากน่าเบื่อ นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรกิน สุดท้ายต้องหาที่พึ่งอย่าง “อาหารสำเร็จรูป” ทั้งหลายคือสิ่งจำเป็นในยามนี้ จับมาผสมๆกันเติมนั้นนิด นี่หน่อย เกิดเป็นเมนูอาหารใหม่ ที่ยังคงรสชาติเดิมที่เราคุ้นเคย แถมยังได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนแน่นอน เรามาเริ่มกันเลย


มาม่าปลากระป๋อง (Instant noodle with canned fish)
(สำหรับ 2 ที่)

อุปกรณ์

มาม่าปลากระป๋อง (Instant noodle with canned fish)1. หมอหรือภาชนะที่สามารถใส่น้ำต้มได้
2. เตาแก๊สปิคนิก
3. ทัพพี หรือช้อนด้ามยาว
4. มีด

ส่วนผสม

1. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (เลือกรสตามชอบแต่ถ้าแนะนำต้องรสต้มยำกุ้ง) 2 ซอง

2. ผักกาดดองกระป๋อง 1 กระป๋อง (หรือถ้ามีผักสดใส่แทนได้จะดีมาก)

3. ไข่ไก่ 1 ฟอง

4. ปลากระป๋อง 1 กระป๋อง

5. น้ำเปล่า 1/2 ลิตร

ขั้นตอนการทำ

1. ใช้หมอที่เราพอจะหาได้ ใส่น้ำแล้วต้มให้เดือด

2. ระหว่างที่รอน้ำเดือด ให้นำผักกาดดองออกจากกระป๋องสะเด็ดน้ำให้มากที่สุด เอาเฉพาะตัวผักกาดดองมาหั่นขนาดชิ้นพอดีคำ*

4. พอน้ำเดือดใส่ปลากระป๋องลงไปในหมอ (ทั้งน้ำและเนื้อ) รอให้เดือดสักพัก

3. ใส่ผักกาดดองที่หั่นไว้ (หรือใส่ผักที่มีตามชอบ) ตามด้วยผงเครื่องปรุงรสในซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เราเตรียมไว้ แล้วคนให้เข้ากัน

5. พอเดือดตอกไข่ใส่ลงไป นับ 1-10 เอาเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือมาม่าที่เราเรียกกันนี่แหละ ใส่ตามลงไปเลย แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากัน

6. ดูพอให้เส้นบะหมี่แตกออกจากก้อน ปิดไฟเลย แล้วทิ้งไว้ในหม้อสัก 1-2 นาที เพื่อให้เส้นดูดน้ำ ไม่ต้องต้มจนเส้นลอยอืด เพราะน้ำยังมีอุณหภูมิที่ร้อนพอจะบ่มเส้นให้สุกเพิ่มขึ้นอีกพักใหญ่ ถ้าต้มจนเส้นสุกมากเส้นจะอืดและไม่อร่อย

(* ที่เราไม่ใช้น้ำผักกาดดอง เพราะถ้าใส่น้ำผักกาดดองลงไปด้วยเมนูนี้จะมีรสเค็มมากเกินไป อันเนื่องมาจากเครื่องปรุงในซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เค้าทำรสชาติมาเพื่อปรุงกับน้ำเปล่าธรรมดาให้ได้รสชาติที่อร่อยพอเหมาะแล้ว)


เท่านี้เราก็ได้เมนูประยุกต์สุดเก๋ ไว้รับประทานช่วงน้ำท่วมกันแล้ว ลองนำไปประยุกต์ทำดูนะค่ะ ^^

Monday, November 7, 2011

วิธีการเลือกอาหารเพื่อรับประทาน ช่วงน้ำท่วม

เนื่องด้วยสถานการณ์น้ำท่วมในภาคกลางของประเทศไทย ค่อนข้างเข้าสู่ภาวะวิกฤต ช่วงนี้ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสที่จะปรุงอาหารที่สดใหม่ และพร้อมคุณค่าทางอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ รับประทานกันได้เหมือนเวลาปกติ ซึ่งการกินอาหารสำเร็จรูปมากเกินไป อาจทำให้เสี่ยงต่ออาการป่วย หรือเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารขึ้นได้









วิธีการเลือกอาหารเพื่อรับประทาน ช่วงน้ำท่วม
(How to Eat and Keep Food Safe During a Flood)


• อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป
สภาวะขณะนี้การเลือกอาหารควรดูให้ดีหากเป็นอาหารที่เป็นประเภทกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารสำเร็จรูป ก็ให้พยายามดูรายละเอียดของ วัน-เดือน-ปี ที่ผลิตที่ฉลากอาหารให้รอบคอบ (ที่สำคัญควรเป็นกระป๋องแบบพร้อมเปิด) ให้เลือกกิน รสจัด สลับ รสจืด หรือไม่ใส่เครื่องปรุง เพราะมีโซเดียมหรือเกลือเยอะ และถ้ารับประทานแต่อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป เหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะไม่ดีต่อสุขภาพได้

• อาหารปรุงสำเร็จที่เก็บได้นานบูดเสียช้า
ส่วนอาหารปรุงสำเร็จที่เก็บได้นานบูดเสียช้า เมนูที่เหมาะตัวอย่างเช่น ไข่ต้ม, ไข่เค็ม, น้ำพริกต่างๆ, กุนเชียงทอดหมูทอด, หมูแผ่น, เนื้อแดดเดียว, เนื้อเค็ม, ปลาเค็ม, หมูเค็ม, หมูหวาน, เนื้อหวาน, ปลาแห้ง, หรือเป็นข้าวเหนียวนึ่งธรรมดา, ข้าวกระป๋อง, ข้าวหลามที่ไม่ใส่กะทิ, หมูหยอง, เครกเกอร์, ซีเรียลอัดแท่ง, ขนมปังกรอบ อาหารเหล่านี้จะเก็บไว้ได้หลายวัน

สำหรับบ้านไหนที่มีเด็กเล็ก อย่าลืมขนม นมเนย ที่ไว้ให้เค้ารับประทานกันด้วยนะค่ะ อย่างเช่นนม UHT สามารถเก็บได้โดยไม่ต้องแช่เย็น นมเม็ด ซีเรียล ช็อกโกแลตแท่ง ท็อฟฟี้ เป็นต้น

......................................................................................................................................................

** วิธีหุงข้าวสวยให้เก็บไว้ได้หลายวันโดยไม่บูด **

ข้าวสวยที่หุงโดยการเติมน้ำส้มสายชูลงไป สามารถอยู่ได้โดยไม่บูดหลายวัน โดยใช้ "ข้าวสาร 3 กระป๋อง ใช้น้ำส้มสายชูประมาณ 1 ช้อนชา" ทดลองหุงแล้วตักมาทาน แล้วปล่อยทิ้งไว้คาหม้อ 4-5 วัน โดยเปิดฝาดูทุกวัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าของกระทู้ได้ที่นี่
......................................................................................................................................................

• ผักและผลไม้สด หรืออบแห้ง
ผักและผลไม้ ก็จำเป็นต่อการบริโภค เพราะร่างกายคนเราต้องการวิตามิน ฉนั้นถ้าเป็นไปได้ควรเก็บผักและผลไม้สดเอาไว้บ้าง ผักสดบางชนิดเช่น พวกแอปเปิ้ล กล้วย ส้ม เก็บไว้รับประทานได้แม้ไม่อยู่ในตู้เย็น แต่ก็ควรล้างให้สะอาด และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรืออาจจะเก็บเป็นประเภทของผักผลไม้อบแห้ง เช่นกล้วยตาก หรือผลไม้กระป๋อง ก็ได้

• อาหารสดในตู้เย็น
หากมีของสดในตู้เย็น เป็นไปได้ควรล้างให้สะอาด เพราะหลังจากนี้คุณอาจไม่มีน้ำสะอาดให้ล้างมากนัก แล้วก็จัดการปรุงให้อร่อย (เท่าที่เวลายังพอมี) คุณอาจยังพอเก็บไว้รับประทานได้ 1 - 2 วัน ก่อนที่จะต้องหม่ำแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือปลากระป๋อง

• น้ำสะอาด
หากมีเครื่องกรองน้ำ ควรกรองน้ำเก็บไว้ให้มาก ๆ เพราะมันคือสิ่งจำเป็นอย่างมาก สำหรับการเอาชีวิตรอดในช่วงน้ำท่วม

• กล่อง, ถัง หรือคูลเลอร์ ที่มีฝาปิดสนิท
หากล่องหรือถังที่ปิดฝาได้สนิท สำหรับบรรจุอาหารแห้ง แต่ไม่ควรบรรจุจนเต็ม หรือหนักจนเกินไป ควรเหลือที่ว่างเอาไว้ด้วย เผื่อเวลาน้ำมามันจะได้ลอยได้ ไม่ต้องเสียเวลาแบกหนีน้ำ หากเป็นถังที่มีหูด้วยก็จะยิ่งดี เพราะสามารถใช้เชือกร้อยเข้าด้วยกัน ลอยหนีน้ำได้ง่าย ๆ คุณจะได้มีเวลาไปยกของส่วนอื่นที่สำคัญกว่า

ถังหรือคูลเลอร์ ที่สามารถเก็บกักความเย็นได้ การซื้อน้ำแข็งมาใส่ แล้วแช่อาหารบางส่วนที่ปรุงไม่ทันก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เพราะมันจะช่วยยืดอายุผักผลไม้สำหรับเก็บไว้บริโภคในยามน้ำท่วมได้นานขึ้นอีกนิด (โดยเฉพาะในบ้านที่ตู้เย็นมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถขนย้ายหนีน้ำได้ไหว หรือไม่มีกระแสไฟ ทำให้ทำความเย็นไม่ได้)

• ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
อย่าลืมซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือติดบ้านเอาไว้ด้วย สำหรับไว้ทำความสะอาดมือก่อนรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มากับกระแสน้ำ แต่ไม่ควรเลือกชนิดที่มีฤทธิ์รุนแรง เพราะผิวหนังของเรานั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอิฐปูน ชั้นของผิวหนังอาจถูกทำลายได้ง่าย ๆ ยิ่งบ้านที่น้ำท่วม ผิวหนังจะเปื่อยง่ายอยู่เป็นทุนเดิม การซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำลายผิวหนังได้รวดเร็ว และสร้างความเจ็บปวดเพิ่มในช่วงน้ำท่วมได้


สิ่งสำคัญที่ควรหลีกเลี่ยง หลีกเลี่ยงการบริโภคขนมปังปอนด์เพราะมีอายุสั้น ประมาณ 5-7 วัน และขึ้นราง่าย ส่วนอาหารกล่องไม่ควรเก็บไว้เผื่อมื้อต่อไป เพราะเก็บได้ไม่เกิน 4-6 ชั่วโมง ก็เน่าเสียแล้ว ส่วนอาหารกระป๋องขอให้ดูวันที่หมดอายุ กระป๋องอยู่ในสภาพดี ไม่บุบ หรือบวม พอง และสังเกตลักษณะของอาหารในกระป๋อง ก่อนเปิดทุกครั้ง



credit:
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/21479
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000130935

เมนูช่วงน้ำท่วม : ไข่เจียวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (ไข่เจียวมาม่า)

สำหรับช่วงวิกฤติน้ำท่วมเช่นนี้ หลายคนคงเบื่อหน่ายกับอาหารการกินที่ซ้ำซากจำเจ และอาหารสดก็หายาก แถมวิธีการปรุงก็แสนจะซับซ้อน วันนี้เรามีเมนูมาเสนอสำหรับบ้านไหนที่พอจะมีไข่ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ และที่สำคัญคือพอจะประกอบอาหารได้ ก็สามารถทำเมนูอร่อยๆ ทานแก้เครียดในช่วงน้ำท่วมกันได้กับเมนู "ไข่เจียวไข่เจียวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป"









ไข่เจียวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (Omelette with instant noodle)

ส่วนประกอบ

1. ไข่ไก่ 2 ฟอง

2. เบคอน (ถ้ามี)

3. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

4. มะเขือเทศ

5.แครอทขูดฝอย

6. หอมใหญ่

7. น้ำปลา

8. น้ำมันพืช


วิธีการทำ

1. นำเบคอน แครอท มะเขือเทศ หอมใหญ่ใส่ลงไปในไข่ไก่ และตีคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงไปคลุกเคล้าด้วยเป็นอย่างสุดท้าย

2. ปรุงรสด้วยน้ำปลา หรือซอสปรุงรสเพียงเล็กน้อย

3. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อนซักครู่ แล้วเทไข่ที่เตรียมไว้ลงไปทอดจนเหลืองกรอบ จัดเสิร์ฟใส่จาน พร้อมรับประทาน

(หากบ้านคุณมีผักอื่นๆ หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่พอจะหาได้นอกเหนือจากที่กล่าวไปสามารถใส่รวมกันได้เลยนะคะ)



credit: http://women.sanook.com/
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...