Tuesday, January 24, 2012

ทำอย่างไรให้หายเป็นไข้หวัด (How to lose a fever)

หวัดและไข้หวัดใหญ่

แม้มันจะเป็นแค่ "หวัด" แต่ก็สร้างความหงุดหงิดรำคาญให้คุณได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ที่ทำให้คุณรู้สึกป่วยจนทำงานไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณลงมือแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ อาการที่หนักหนาก็จะบรรเทาลง อาวุธที่ใช้สู้กับไข้หวัดมีตั้งแต่สมุนไพร ซุปไก่ ธาตุสังกะสี รวมถึงไดร์เป่าผม ทันทีที่คุณเริ่มจาม ขณะที่ยาแก้หวัดทั่วไปมักทำให้คุณอ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับ และไม่ได้ช่วยให้หวัดหายเร็วขึ้นเลย วิธีเยียวยาต่อไปนี้จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และเร่งให้ไข้หวัดหายเร็วขึ้น

- เมื่อเริ่มมีอาการหวัด ให้อมยาอมสังกะสีชนิดซิงค์กลูโคเนต (zinc gluconate) ทุก 2-3 ชั่วโมง การศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า คนที่อมลูกอมที่มีแร่ธาตุสังกะสีผสมอยู่ 13 มก. ทุก 2 ชั่วโมง จะหายหวัดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้อมลูกอม 3-4 วัน แต่ไม่ควรใช้เกินวันละ 150 มก. และไม่ควรใช้นานเกินสัปดาห์ เพราะการได้รับสังกะสีนานๆ กลับจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อย่าเลือกลูกอมที่มีกรดซิตริกหรือสารให้ความหวานซอร์บิทอล เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของสังกะสีด้วยลง

- ดื่มชาเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ (elderflower) ใส่ดอกเอลเดอร์ฟลาวเวิอร์แห้งราว 2-5 กรัมลงในน้ำเดือด ทิ้งไว้ราว 5-10 นาทีแล้วกรองออก ดื่มชานี้อย่างน้อยวันละ 3 ถ้วย

- เมื่อเริ่มมีอาการจาม ให้สูดผงวิตามินซีเข้าทางจมูก (ผงวิตามินซีหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป) การสูดเอาวิตามินซีเข้าเยื่อเมือกในจมูกโดยตรงเป็นการยับยั้งไวรัสก่อนที่อาการหวัดจะออกฤทธิ์เต็มตัว แต่คุณอาจรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย

- จงรักษาหวัดแต่เนิ่น ๆ เมื่อใดที่สังเกตว่าคุณมีอาการของหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้เริ่มกินวิตามินซี 200 มก. วันละ 5 ครั้งพร้อมอาหาร ควรเลือกชนิดที่เสิรมไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavanoid) เพราะมีการศึกษาพบว่าจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินซีได้มากถึง 35% แต่ถ้ากินแล้วท้องร่วงก็ลมปริมาณลง

- อาวุธต้านไข้หวัดใหญ่ ชาวยุโรปใช้เอลเดอร์เบอร์รี (elderberry) เป็นตัวยาต้านไวรัสกันมานานนับศตวรรษ จึงมีคำแนะนำว่า เมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ ให้กินทิงเจอร์เอลเดอร์เบอร์รี 20-30 หยด วันละ 3-4 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน มีการวิจัยหนึ่งพบว่าคนที่กินเอลเดอร์เบอร์รีจะหายจากไข้หวัดใหญ่เร็วกว่าคนที่ไม่กิน หรือจะเลือกอมลูกอมเอลเดอร์เบอร์รีแทนก็ได้ (ลูกอม 6 เม็ดต่อวันจนกว่าอาการจะหมดไป)

- บรรเทาอาการเจ็บคอ ด้วยการอมน้ำเกลือ ที่ทำจากเกลือ 1 ช้อนชา ละลายในน้ำอุ่น 250 มล. เกลือจะบรรเทาอาการเจ็บคอได้

- ยาแก้เจ็บคอที่ใช้กันมานานาแต่ก็ยังใช้ได้ผล คือน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาว เพราะสภาพกรดในปากจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียและไวรัสได้

- ซุปไก่ต้านหวัด ซุปไก่ร้อนๆ เป็นสุดยอดยาแก้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ พบหลักฐานยืนยันว่าซุปไก่สามารถยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวนิวโตรฟิล (neutrophil) ไม่ให้มารวมตัวกันจนทำให้เกิดการอักเสบ และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเยื่อเมือกเป็นจำนวนมาก ซุปไก่จะทำให้น้ำมูกใสขึ้นได้มากกว่าน้ำร้านเปล่าๆ คุณควรกินซุปไก่ทำเองดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคนที่ห่วยใยทำกับมือ (ดู ซุปสุขภาพนานาชาติ หน้า 108)

- สับกระเทียมสด ๆ ใส่สงในน้ำซุปด้วย ในสมัยโบราณฟาโรห์อียิปต์ทรงใช้กระเทียมฆ่าเชื้อโรค สรรพคุณรักษาโรคของกระเทียมจึงเล่าขานกันมาในตำนาน สารออกฤทธิ์สำคัญในกระเทียมคือ อัลลิซิน (allicin) และอัลลิน (allin) การทดสอบในหลอดทดลองพบว่าสารสองชนิดนี้ฆ่าเชื้อโรคได้ทันที กระเทียมยังช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยเซลล์เพชฌฆาตออกมาฆ่าเชื้อโรค

กระเทียม ตัวยาที่มาพร้อมกลิ่นฉุน การกินกระเทียมซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติจะช่วยกำจัดไวรัสหวัด เคี้ยวกระเทียมสดกลีบใหญ่ ๆ ให้กลิ่นกระเทียมเข้าไปในลำคอและปอด หากกระเทียมเริ่มนิ่มและกลิ่นรุนแรงจนคุณทนไม่ไหว ให้รีบเคี้ยวแล้วกลืนพร้อมกับดื่มน้ำตาม

ถ้าไม่อยากเคี้ยวกระเทียมคุณอาจเลือกกินกระเทียมในแบบแคปซูลก็ได้ กระเทียมสกัดเข้มข้นขนาดแคปซูลปกติมักเป็น 400-600 มก. วิธีใช้คือ กินวันละ 4 ครั้งพร้อมอาหาร ตามมาตรฐานควรมีสารอัลลิซินผสมอยู่ 4,000 ไมโครกรัม ถ้ากินกระเทียมสดแล้วมีอาการอาหารไม่ย่อย มีลมในท้อง หรือท้องเสีย ก็ควรเลือกแบบแคปซูลเพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงดังกล่าว

- อย่าปล่อยให้คอแห้ง ร่างกายที่กำลังต่อสู้กับไข้หวัดมักขาดน้ำ คุณจึงควรดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยต้องดื่มให้ได้ 8 แก้ว (ขนาด 250 มล.) เพื่อให้เยื่อเมือกไม่แห้ง และบรรเทาอาการตาแห้งหรืออาการอื่น ๆ ของไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้น้ำจะช่วยให้น้ำมูกเหลว และสั่งน้ำมูกง่าย

- ควรอยู่ในที่อากาศอบอุ่น มีความชื้น และอากาศถ่ายเทดี เพื่อให้อาการในห้องมีความชื้นทำให้น้ำมูกไหลได้สะดวก วางอ่างใส่น้ำไว้ในห้องหรือเปิดเครื่องทำความชื้น หรือเปิดฝากาต้มน้ำร้อนไฟฟ้าไว้โดยปล่อยให้น้ำเดือดไปเรื่อยๆ ไอน้ำจากกาจะลอยอยู่ในห้อง

- ขิงทำให้จมูกโล่ง คุณสามารถบรรเทาอาการคัดจมูกโดยกินขิงสด แต่ควรกินหลังอาหาร เพื่อไม่ให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้อง

ดื่มน้ำขิง อาจดื่มน้ำขิงสำเร็จรูปหรือทำเองโดยใช้ขิงขูดฝอย 1/2 ช้อนชาใส่ลงในน้ำร้อน ขิงจะช่วยระงับการผลิตสารที่ทำให้หลอดลมตีบตันและคัดจมูก ในขิงมีสารจิงเจอรอล (gingerol) ซึ่งมีฤทธิ์ระงับการไออีกด้วย

- เพิ่มรสชาติเผ็ดจัดจ้านในน้ำซุปที่กิน เช่น เติมพริกป่น ซอสพริก ซอสทาบาสโก หรือวาซาบิลงไป ซุปรสชาติเผ็ดร้อนช่วยบรรเทาอาหารคัดจมูกได้ดีกว่ากินซุปเปล่าๆ แค่เติมอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปก็ช่วยให้คุณหายใจสะดวกขึ้นทันที ถ้ารู้สึกเบื่ออาหารคุณอาจเปลี่ยนมาซดน้ำต้มยำแทนก็ได้ ในต้มยำมีเครื่องเทศหลายชนิดทั้งขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และพริก นอกจากสรรพคุณช่วยรักษาอาการหวัดแล้ว ยังช่วยให้เจริญอาหาร

- สวมถุงเท้าเปียกขณะนอนหลับ ถุงเท้าเปียกเป็นวิธีรักษาโรคตามแนวธรรมชาติที่ช่วยลดไข้ และทำให้หายใจสะดวกขึ้น เพราะเลือดจะถูกดึงไปที่เท้า เป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนโดยอัตโนมัติ (เลือดจะไหลเวียนไม่สะดวกในบริเวณที่เกิดการคั่ง) ก่อนเข้านอนให้แช่เท้าในน้ำค่อนข้างร้อน จากนั้นนำถุงเท้าไปแช่ในน้ำเย็น บิดน้ำออกแล้วนำมาสวม โดยสวมถุงเท้าแห้งทับอีกชั้นก่อนเข้านอน ถึงตอนเช้าถุงเท้าที่เปียกจะแห้ง คุณจะรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่วิธีนี้ควรทำให้ห้องที่มีความร้อนพอสมควร อย่าสวมถุงเท้าเปียกเข้านอนหากอุณหภูมิห้องเย็นเกินไป

- แช่เท้าในน้ำมัสตาร์ด ใส่ผงมัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำร้อน 1 ลิตรในอ่าง หรือกะละมังซักผ้า มัสตาร์ดช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาที่เท้าจึงลดอาการหลอดเลือดตีบตัน

- วิธีเก่าแก่ในการแก้หลอดเลือดคั่งบริเวณทรวงอกคือ การพอกมัสตาร์ดบดเมล็ดมัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ (หรือใช้ผงมัสตาร์ด 1/2 ถ้วย) ผสมแป้ง 1 ถ้วยหรือข้าวโอ๊ตอบกรอบป่นละเอียด คนให้เข้ากันแล้วเติมน้ำลงไปเล็กน้อย ทาปิโตรเลียมเจลลีบนหน้าอกเพื่อปกป้องผิว แล้วนำมัสตาร์ดมาพอก กลิ่นฉุนของมัสตาร์ดจะทำให้โพรงจมูกโล่ง และความร้อนจะช่วยให้เลือดบริเวณอกไหลเวียนสะดวกขึ้น แต่อย่าพวกไว้นานเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ผิวหนังไหม้

- ทำให้ทางเดินหายใจโล่งด้วยการ รินน้ำร้อนลงในชามอ่าง ก้มหน้าลงไปใกล้ ๆ โดยใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหัวไว้ เพื่อทำเป็นกระโจมอบไอน้ำที่กักไอร้อนไว้ภายใน สูดหายใจเอาไอน้ำเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก ทำอย่างนี้ประมาณ 5-10 นาที แต่อย่าก้มหัวให้ชิดน้ำร้อนเกินไป เพราะน้ำอาจลวกใบหน้า หรือไอที่สูดเข้ามาอาจจะร้อนเกินไป คุณควรวางชามหรืออ่างน้ำร้อนไว้บนโต๊ะที่มั่นคง ห้ามวางบนเตียงเป็นอันขาด เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้หากไม่ระวัง

ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิผล ให้เหยาะน้ำมันไทม์ (thyme oil) หรือน้ำมันยูคาลิปตัสปริมาณเล็กน้อยลงในอ่างน้ำร้อนด้วย แต่ตอนที่สูดไอน้ำเข้าไปต้องหลับตาไว้ เพราะไอน้ำที่ผสมกับน้ำมันหอมอาจระคายเคืองตา

- หยดน้ำมันยูคาลิปตัสลงในผ้าเช็ดหน้า เมื่อไหร่ที่รู้สึกหายใจไม่ออกให้หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสูดดม

- อาการคอเคล็ด คนที่เป็นไข้หวัดใหญ่จะรู้สึกคอเคล็ดอย่างรุนแรง เพื่อบรรเทาความปวดให้เอาฟ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ ใส่ในถุงพลาสติก แล้วเอาเข้าเตาอบไมโครเวฟ 60 วินาที หรือแค่จุ่มผ้าขนหนูลงในน้ำร้อนแล้วบิด ระวังอย่าให้ริ้นเกินไป นำผ้าขนหนูมาห่อรอบบริเวณไหล่และลำคอแล้วนอนลง (ควรปูผ้ารองไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เตียงเปียก) ใช้ผ้าขนหนูแห้งพันทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันความร้อนไม่ให้ออกไป

- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำเปล่า โดยเฉพาะหลังใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือในช่วงที่ทำงานร่วมกับคนป่วย ในปี 1998 การศึกษาหนึ่งในสหรัฐฯ ได้สั่งให้ทหารเรือที่เกณฑ์เข้ามา 40,000 นายล้างมือวันละ 5 ครั้ง ผลปรากฎว่าทหารเหล่านั้นมีอัตราการเกิดโรคทางเดินหายใจลดลงถึงร้อยละ 45

- ไม่ควรใช้มือที่ยังไม่ได้ล้างสัมผัสใบหน้าหรือหยิบจับอาหาร ถ้าคุณต้องเดินทางบ่อยๆ อาจพกเจลทำความสะอาดมือขวดเล็ก ๆ ไว้ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้อ่างล้างมือได้

- แม้จะดูว่าเสียมารยาทไปบ้าง แต่คุณควรหลีกเลี่ยงการจับมือกับคนที่กำลังเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่

- ฝึกฝนและใช้เทคนิคการผ่อนคลายเป็นประจำตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงที่หวัดและไข้หวัดใหญ่ระบาด มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าความเครียดทำให้คนเราป่วยง่ายขึ้น

- พักผ่อนให้เพียงพอ คนส่วนใหญ่ เป็นหวัดหรือไข้หวัดในช่วงที่โหมงานหนักจนไม่ค่อยได้หลับได้นอน ดังนั้นควรลางานและพักผ่อนให้เพียงพอ มีการศึกษาพบว่าถึงแม้จะขาดนอนไปเพียงนิดเดียว การต้านไวรัสจะลดลงอย่างมาก ในการศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า คนที่นอนน้อยลงกว่าที่ควรเพียงคืนเดียว จะทำให้ร่างกายมีเซลล์คุ้มกันชนิดที่คอยควบคุมการติดเชื้อไวรัส ลดลงถึงร้อยละ 30



credit: http://www.facebook.com

Tuesday, January 10, 2012

นอนหลับสบายด้วย น้ำเชอร์รี่ (Cherry juice helps sleep better)

น้ำเชอรี่ ช่วยทำให้นอนหลับ

ใครก็ตามที่ดื่มน้ำเชอรี่วันละ 2 แก้ว จะช่วยลดอาการง่วงนอนในเวลากลางวันลง และสามารถนอนหลับสนิทได้ยาวนานขึ้น 39 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับการนอนหลับตามปกติ

นักวิจัยพบว่า เชอรี่พันธุ์มอนต์โมเรนซี ที่มีความเปรี้ยวมากกว่าเชอรี่ปกติ จะช่วยเพิ่มสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญต่อการนอนหลับในร่างกายมากขึ้นกว่าเดิม

อาสาสมัครทั้งหมด 20 คน ได้รับน้ำเชอรี่วันละ 30 มิลลิลิตร ผสมกับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้อื่นๆ ครึ่งไพนท์ เมื่อตื่นนอนและก่อนเข้านอน เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 7 วัน

คณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ทฮัมเบรีย ตีพิมพ์ข้อค้นพบนี้ลงในวารสาร "European Journal of Nutrition" โดยทำการวิจัยพฤติกรรมการนอนหลับของอาสาสมัครด้วยเครื่องวัดการนอนหลับ

พวกเขาพบว่า ผู้ใหญ่สุขภาพดีที่ได้รับน้ำเชอรี่อย่างน้อยวันละ 2 แก้ว จะนอนหลับสนิทได้นานขึ้น และมีอาการง่วงในเวลากลางวันลดลง พัฒนาสัดส่วนการนอนอย่างมีสุขภาพขึ้น 6% จากปกติ

เจสัน เอลลิส ผู้วิจัยเผยว่า เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ร่างกายจะผลิตสารเมลาโทนินเพื่อช่วยให้เรานอนหลับ และน้ำเชอรี่จะช่วยเพิ่มสารตัวนี้ เพื่อช่วยให้นาฬิกาของร่ายกายเราทำงานได้ดีขึ้น

เขากล่าวว่า น้ำเชอรี่จะช่วยผู้ที่มีอาการเจ็ตแล็ก หรือเพิ่งทำงานกะดึกเสร็จ สามารถปรับตัวเข้ากับเวลาของร่างกายตามธรรมชาติได้ดีขึ้น
นอนหลับสบายด้วย น้ำเชอร์รี่ (Cherry juice helps sleep better)
CHERRY JUICE HELPS SLEEP BETTER


They are tasty and give us abundant energy apart from fulfilling our daily body need of water, vitamins and nutrients. But now here is a fruit whose juice induces more sleep!

A new research says that cherries produce melatonin- a natural hormone that positively affects our sleep. Affirming this bit of news homeopath Satish Mankani says, "Melatonin is produced in the pineal gland located at the base of the brain. These glands are more active during the night time as compared to the day when they are passive. Melatonin contains antioxidants which are responsible for increasing the sleep time in significant quantities that are enough to produce positive results for the body. This makes cherry juice an ideal sleeping dose. Drinking two glasses of cherry juice daily can stretch our sleeping time by a good 45 minutes!"



credit:
http://campus.sanook.com/
http://articles.timesofindia.indiatimes.com/

Friday, January 6, 2012

ไก่ห่อใบเตย (Chicken-Pandan recipe)

ไก่ห่อใบเตย เมนูอาหารไทยชื่อดัง ไก่ที่ทอดจนหอมกรอบ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ทานคู่กับน้ำจิ้มไก่จะทำให้อร่อยยิ่งขึ้น ไก่ห่อใบเตยสามารถเป็นได้ทั้งอาหารท่านเล่น และกับข้าวแสนอร่อย ซึ่งมีวิธีการทำและขั้นตอนเข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

สมัยเป็นเด็ก ๆ จำได้ว่า ผู้ใหญ่จัด "ไก่ห่อใบเตย" ให้เป็นอาหารที่ใช้เสิร์ฟคู่กับข้าว แต่มาเดี๋ยวนี้ความนิยมเปลี่ยนไป "ไก่ห่อใบเตย" กลายมาเป็นอาหารว่างหรือกับแกล้ม จานยอดนิยม เพราะทำง่าย รูปทรงสวย มีรสชาติอร่อย จากเนื้อไก่ที่หมักจนเข้าเครื่อง และหอมกลิ่นใบเตยที่ใช้ห่อ เคล็ดลับในการทำอาหารจานนี้ให้อร่อย อยู่ที่การหมักเนื้อไก่กับสามเกลอ และเครื่องปรุงอื่น ๆ ให้ซึมเข้าเนื้อไก่ โดยการนำไปหมักในตู้เย็น ไม่ควรหั่นไก่ให้มีขนาดเล็กหรือใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้ทอดไม่สะดวก นอกจากนี้เวลาห่อไก่ด้วยใบเตย อย่าลืมทิ้งชายใบเตยไว้สำหรับจับด้วย ไม่อย่างนั้นเวลาแกะไก่ออกจากใบเตยจะเลอะเทอะมือมาก

ไก่ห่อใบเตย

เห็นสูตรนี้ในหนังสือเล่มเล็กๆชุดหน้าต่างสู่รสชาติ ก็ได้ลองทำดู อร่อยดีค่ะ โดยเฉพาะน้ำจิ้มเข้มข้นที่มีรสเปรี้ยวอยู่ด้วย

ส่วนผสม

- เนื้ออกไก่ล้วน 250 กรัม
- งาขาว 1 ชช.
- น้ำมันงา 1 ชช.
- น้ำปลา 1 ชช.
- น้ำมันหอย 1 ชช.
- ซีอิ้วขาว 1 ชช.
- กระเทียม รากผักชี พริกไทย(อัตราส่วน 1:1:1/4) ตำ 1 ชต.

- ใบเตยสำหรับห่อ

วิธีทำ

1. ล้างไก่ ตัดเอาส่วนหนังออก หั่นเป็นสี่เหลื่ยมขนาด 2นิ้วผสมไก่และเครื่องปรุงทั้งหมดหมักนาน 15 นาที

2. ห่อไก่ที่หมักด้วยใบเตย ทอดในน้ำมันมากๆที่ร้อน บนไฟกลางจนสุก วิธีการที่จะไม่ให้ไก่หลุดออกจากใบเดย ให้ทอดโดยใช้้ตะแกรงช่วย วางหงายไว้บนตะแกรงนำลงทอด จนไก่ติดกับใบเตย ก็สามารถพลิกทอดอีกด้าน ถ้าไก่ชิ้นใหญ่เต็มใบเตยจะช่วยให้ไม่หลุดง่ายด้วยค่ะ

3. เสิร์ฟร้อนๆกับน้ำจิ้มงาขาว

น้ำจิ้มงาขาว

- น้ำมันงา 1 ชต.
- น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
- น้ำตาลทราย 2 2/1 ชต.
- น้ำมันหอย 1 ชต.
- น้ำปลา 1 ชต.
- งาขาว 1 ชช.

วิธีทำน้ำจิ้ม

ผสมทุกอย่างในหม้อ ตั้งไฟให้พอเดือดปุด สัก 20 นาที ชิมรสถ้าเปรี้ยวมากให้ปรุงด้วยซีอิ้วขาวและน้ำตาลอย่างละเท่าๆกันคนอีกซักพัก ใส่งาขาว


Chicken-Pandan recipe

Chicken Pandan or Pandan Chicken is a delicious Thai chicken dish. Chicken pieces such as drumsticks, wings, and boneless breasts are marinated in a concoction of seasonings and spices then wrapped in Pandan (Screwpine) leaves. This can be cooked in different ways: deep-frying, grilling, and baking.

You might be wondering why the chicken pieces need to be wrapped in Pandan leaves. Pandan leaves provide a sweet enticing aroma to the chicken which can increase your appetite level. The secret to a flavorful chicken or meat dish is the marinade. It is important that you let the chicken absorb all the flavors before starting to cook

Pandan chicken makes a great appetizer or finger food for your party and they are so easy to make.

Ingredients

Pandan Leaves and make it as a small cup
250 g Chicken Breast
1 tsp. Sesame
1 tsp. Sesame oil
1 tsp. Oyster sauce
1 tsp. Soy sauce
Corainder root: garlic: pepper (1:1:1/4)

Preparation

1. Wash the chicken breast and skin off then cut to a bite side (around 1.5-2 inch, fit into Pandan cup). Put the ingredients and mix with the chicken.

Then, leave it minimum 15 minutes.
2. Cover the chicken with Pandan cup. Next, deep fried the chicken with medium heat.
3. Serve with sesame sauce

Sesame Sauce

1 tsp. Sesame oil
½ cup Tamarind juice
2 tbsp. Sugar
1 tbsp. Oyster sauce
1 tbsp. fish sauce
1 tsp. Sesame

Mix all ingredients in a pot until boiled about 20 minutes, finally put sesame. (if the taste is too sour, you can add little of sugar and soy sauce)


วิธีทำแปลภาษาโดยคุณ Takkaphot Wannasiri
http://www.chefparadiso.com/Recipe/Thai-Recipe/Chicken-Pandan.html




credit:
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.427768777656.197805.261837707656&type=1
http://www.maama.com/column/guzzie/view.php?id=000076

Tuesday, January 3, 2012

ข้อควรรู้ “มะเฟือง” ผลไม้อันตราย! สำหรับผู้ป่วยโรคไต (The Danger of Star Fruits)

หลายเสียงเล่าลือกันถึงเรื่องของพิษที่มีอยู่ใน..."มะเฟือง" ส่งผลทำให้มีอันตรายถึงชีวิตจากภาวะไตวายเฉียบพลัน เพื่อให้คลายสงสัย รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความกระจ่างว่า มะเฟืองเป็นผลไม้เขตร้อนที่คนไทยรู้จักมาเนิ่นนาน แต่ในจำนวนคนไทย 67 ล้านคน มีน้อยคนนักที่จะทราบว่า พิษของมะเฟืองมีผลต่อสุขภาพของไต และอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

คุณหมอชาครีย์ บอกว่า "ไต" เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบในร่างกายของเรา มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง มี 2 ข้างอยู่บริเวณบั้นเอว ไตเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะ ส่วนที่ต่อจากท่อไต (URETER) ซึ่งจะนำปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ และเข้าสู่ท่อปัสสาวะ (URETHRA) ในเพศชายจะมีต่อมลูกหมากอยู่โดยรอบท่อปัสสาวะ

หน้าที่สำคัญของไต
1. ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการแตกตัวของโปรตีนในอาหารออกจากร่างกาย
2. รักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ กรดและด่างของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
3. ควบคุมความดันโลหิต
4. สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก

ความหมายของภาวะไตวาย คือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

ชนิดแรก: ไตวายเรื้อรัง คือการสูญเสียการทำงานของไต ที่เป็นไปอย่างช้าๆ และถาวร ช่วงเวลาอาจตั้งแต่ 1-2 ปี จนถึง 10 ปีขึ้นไป จนในที่สุดเข้าสู่ภาวะสุดท้ายของไตวาย (END STAGE RENAL FAILURE) ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ต้องการการรักษาแบบทดแทน เช่น ฟอกเลือด, เปลี่ยนไตเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้

ชนิดที่สอง: ไตวายเฉียบพลัน ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นชั่วโมง หรือ เป็นวัน ทำให้เกิดการคั่งของของเสียทำให้เกลือแร่ กรด ด่าง และการควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีปริมาณปัสสาวะต่อวันน้อยกว่า 400 ซีซี

คุณหมอชาครีย์ บอกอีกว่า สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน มีหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย การอุดตัน ผู้ป่วยที่ช็อกจากการติดเชื้อ, เสียเลือดจำนวนมาก หรือขาดน้ำอย่างรุนแรงจากท้องเสีย การใช้คำว่า "เฉียบพลัน" นอกจากบ่งถึงช่วงเวลาระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ยังบ่งถึงความเป็นไปได้ ที่ไตจะกลับสู่ภาวะปกติได้

คนไทยรู้จักมะเฟืองมานาน นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือคั้นเป็นน้ำผลไม้ หรือรับประทานผลดิบเป็นผัก เช่น ในอาหารเวียดนาม ในบ้านเรามีรายงานเกี่ยวกับคนไข้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันหลังการรับประทานผลสด หรือน้ำมะเฟืองจำนวนมาก เนื่องจากมะเฟืองเป็นพืชที่มี "สารออกซาเลต" สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ปกติแล้วออกซาเลตสามารถละลายและถูกดูดซึมได้อย่างอิสระ แล้วถูกขับออกทางไต

โดยสาเหตุของไตวายเฉียบพลันนั้น เพราะไตเป็นแหล่งที่มีสารต่างๆ หลายชนิด เมื่อสารออกซาเลตในมะเฟืองจับตัวกับแคลเซียมที่อยู่ในไต จะกลายเป็นผลึกนิ่วออกซาเลต ผลึกนิ่วจำนวนมากตกตะกอน หรืออุดตันในเนื้อไตและท่อไต ทำให้ไตวายหรือสูญเสียการทำงานไป แต่กระนั้น การเกิดภาวะไตวายไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยทุกราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทาน และภาวะพร่องหรือขาดน้ำในผู้ป่วย

หน่วยโรคไต โรงพยาบาลรามาธิบดี เคยพบกรณีคนไข้ในประเทศไทยมีอาการไตวายเฉียบพลัน จากการได้รับภาวะพิษจากการรับประทานผลมะเฟือง และได้ส่งรายงานไปต่างประเทศ ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษต่อไตเกิดขึ้นในหลายชั่วโมงถัดมา หลังรับประทานผลมะเฟือง ผู้ป่วยจะมาด้วยภาวะไตวายเฉียบพลัน กล่าวคืออาจจะมีปัสสาวะออกน้อยลง, บวมน้ำ, ความดันโลหิตสูงขึ้น, น้ำท่วมปอด, อ่อนเพลีย หรือบางรายอาจมาด้วยอาการสะอึก เนื่องจากของเสียในร่างกายคั่ง จากการที่ไตไม่สามารถขับของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ และอาจจะต้องได้รับการฟอกเลือดล้างไตในที่สุด

พบด้วยว่า ถ้ามีภาวะไตวายเฉียบพลันเกิดขึ้นหลังหยุดรับประทานมะเฟือง ผู้ป่วยเดิมที่มีไตปกติ กว่าไตจะกลับมาทำงานได้ตามปกติอาจใช้เวลานาน ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มีโรคไตเดิมอยู่ก่อนแล้ว การทำงานของไต อาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่กลับมาเท่าเดิม และอาจจะต้องฟอกไตถาวร

ผลการศึกษาปัจจัยการเกิดโรค พบว่าขึ้นอยู่กับชนิดมะเฟือง

• มะเฟืองเปรี้ยวมีโอกาสเกิดโรคมากกว่ามะเฟืองชนิดหวาน เนื่องจากมีปริมาณกรดออกซาลิคมากกว่า "ถ้ารับประทานผลสดหรือผลไม้คั้น จะมีโอกาสเกิดโรคมากกว่า แต่ถ้าผ่านการดอง หรือแปรรูปหรือเจือจางในน้ำเชื่อม เช่น ในน้ำมะเฟืองสำเร็จรูป จะทำให้ปริมาณออกซาเลตลดน้อยลง"

ปริมาณที่รับประทาน พบว่าระดับออกซาเลต ที่เป็นพิษต่อร่างกายมีค่าตั้งแต่ 2-30 กรัมของปริมาณออกซาเลต ผลมะเฟืองเปรี้ยวมีออกซาเลต ประมาณ 0.8 กรัม ในขณะที่มะเฟืองหวานมีออกซาเลต 0.2 กรัม สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่เดิมอาจมีไตวายเฉียบพลัน จากการรับประทานมะเฟืองเพียงเล็กน้อย

• นอกจากนี้ ระดับความรุนแรงยังขึ้นอยู่กับภาวะพร่องหรือขาดน้ำ จากการรายงานผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายหลังรับประทานมะเฟือง พบว่าผู้ป่วยดื่มน้ำมะเฟืองหลังจากการทำงานหนักหรือสูญเสียเหงื่อมาก จะยิ่งมีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น เนื่องจากผลึกแคลเซียมออกซาเลตจะอิ่มตัว และตกผลึกง่ายขึ้นในเนื้อไต
• ในผู้ที่มีไตเรื้อรังอยู่ก่อน โดยเฉพาะผู้ที่ไตวายต้องล้างไตแล้ว มะเฟืองมีผลต่อระบบประสาทด้วย มีรายงานในผู้ป่วยกว่า 50 รายทั่วโลก มะเฟืองอาจมีสารที่เป็นพิษกับระบบประสาท ซึ่งผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไปจากการที่สมองบวม จากการที่มีผลึกนิ่วออกซาเลตไปเกาะสมอง หรือการที่มะเฟืองมีสารพิษอื่นที่กระตุ้นสมอง สารพิษต่อสมองนี้จะสะสมในภาวะไตวาย ดังนั้นการเกิดพิษลักษณะนี้พบได้น้อยมากในคนปกติ และผู้ป่วยมักต้องรับประทานผลมะเฟืองเป็นจำนวนมาก

"ผู้ป่วยไตวายอาจมีอาการทางสมองหลังรับประทานมะเฟืองทั้งชนิดหวานและชนิดเปรี้ยวเพียงหนึ่งผล อาการมักเริ่มไม่กี่ชั่วโมงหลังรับประทานมะเฟือง โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สะอึก ตามด้วยภาวะซึมหรือชัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังหยุดรับประทานมะเฟือง หลังการล้างไตเพื่อเอาพิษมะเฟืองออก อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตหลังรับประทานมะเฟือง"

น่าสนใจที่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ยินข่าวผู้ป่วยจากพิษมะเฟือง เป็นไปได้ว่าที่ผ่านมามะเฟืองไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก ผลผลิตมะเฟืองในแต่ละปีก็มีจำนวนไม่มากอย่างผลไม้อื่นๆ คนส่วนใหญ่จะรับประทานในปริมาณน้อย และไม่รับประทานมะเฟืองเปรี้ยว

แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ได้มีบทความแพร่ทางสื่อออนไลน์ชวนให้รับประทานมะเฟืองสด โดยชี้แนะประโยชน์ทางสุขภาพ เช่น ลดน้ำตาลในเลือด หรือช่วยรักษาโรคอื่นๆ จึงอาจทำให้มีคนเชื่อ หันมาบริโภคมะเฟืองกันมากขึ้น

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ระบุชัดเจนถึงประโยชน์ของมะเฟือง ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง มะเฟืองสดเป็นผลไม้ที่น่าจะเกิดโทษกับผู้ที่รับประทานมากเกินกว่าที่ร่างกายจะทำลายพิษได้ และขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริโภคที่มีความเสี่ยงต่อภาวะไตวาย ผู้บริโภคสุขภาพปกติทานได้แต่ในปริมาณไม่มาก ผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีไตเสื่อม หรือมีความเสี่ยงต่อโรคไต ห้ามทานมะเฟืองทั้งเปรี้ยวและหวานเด็ดขาด

คุณหมอชาครีย์ย้ำทิ้งท้ายว่า โรคไตมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผู้รักสุขภาพควรเอาใจใส่ต่อโภชนาการที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพไตเป็นประจำทุกปี



credit: http://www.thaihealth.or.th
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...