Wednesday, July 13, 2011

น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)

"น้ำตาล" สารให้ความหวานตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง เรียกกันได้หลายแบบโดนขึ้นอยู่กับรูปร่างลักษณะของน้ำตาล เช่นน้ำตาทราย น้ำตาลกรวด น้ำตาลก้อน น้ำตาลปีบ เป็นต้น แต่ถ้าในทางเคมี หมายถึง"ซูโครส" น้ำตาล เป็นสารประกอบ คารฮโบไฮเดรต มีรสหวาน โดยมากน้ำตาลจะได้จากมะพร้าว อ้อย ต้นบีท อินทผลัม ข้าวฟ่าง สมัยโบราณเราทำ"น้ำตาล" จากน้ำต้นตาลจึงเรียกสารให้ความหวานนั้นว่า"น้ำตาล" แม้ว่ารูปแบบของสารให้ความหวานจะเปลี่ยนไป ทั้งรูปลักษณ์และวัตถุดิบโดยทำมาจากน้ำอ้อย แต่ชื่อ"น้ำตาล" ก็ยังคงถูกใช้อยู่จวบจนปัจจุบัน

น้ำตาล ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องปรุงรส ที่ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้น่ารับประทาน แต่น้ำตาลก็จัดเป็นอาหารที่ให้พลังงาน แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป ทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ ซึ่งอาจร้ายแรงจนคุณคาดไม่ถึง

• ปกติใน 1 วัน เรารับประทานอาหารเข้าไปหลากหลายประเภท ทังแป้ง โปรตีน ไขมัน ซึ่งแล้วแต่เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงทั้งสิ้น เมื่อเราเพิ่มการบริโภค"น้ำตาล"เข้าไปอีกถือว่าเกินพอดี อาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เพราะระดับวิตามินบี1 ลดน้อยลง เช่นเหน็บชา ภูมิแพ้ อารมณ์แปรปรวน กระสับกระส่าย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ และโรคอ้วน
น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)
"น้ำตาล"อยู่ในเลือดจะมีผลให้เลือดเหนียวข้นขึ้น เลือกจะไหลช้าลง และนำสารต่างๆไปเลี้ยงร่างกายได้ช้า ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมร่างกายลดลงทำให้เส้นเลือกฝอยตีบตันได้ง่าย และเกิดความเสื่อมกับอวัยวะต่างๆได้เร็วขึ้น เป็นต้นเหตุเสี่ยงสารพัดโรค การทานน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้มีอาการเป็นตะคริว เวลามีรอบเดือนเป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับ

ในเด็กที่กินน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ รวมถึงอาจกลายเป็นเด็กที่ไม่มีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ และทำให้มีอารมณ์โกรธได้ง่าย

• สัญญาณเตือนภัยว่า ร่างกายได้รับอันตรายจากความหวานก็คือ น้ำหนักลดยาก อยากกินหวาน หากไม่ได้กินจะรู้สึกหงุดหงิด มีผมหรือขนขึ้นในที่ที่ไม่ควรขึ้น ผมร่วง สิวขึ้น ในรายการที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเกิดซัสต์ที่รังไข่ และมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกันความดันสูง นิ่ง ไต เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบตัน และไขมันแทรกในตับ น้ำตาลส่งผลต่อหัวใจ ไต และ ตับ เมื่อน้ำตาลมีมากเกินไป ก็จะกลายเป็นไขมัน ซึ่งจะถูกสะสมไว้ในอวัยวะภายใน และนานวันเข้า อวัยวะเหล่านี้ก็จะถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน แล้วน้ำเมือกในร่างกายก็จะเริ่มผิดปกติ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น

• ทั้งนี้ผู้ที่ชอบกินหวาน ผิวหนังจะมีสภาพเป็นกรด ที่พร้อมจะให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายอีกด้วย เสี่ยงทำให้เป็นโรคติดเชื้อรุนแรง ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร ในการเจริญเติบโตของเชื้อโรค

ร่างกายขาดความสมดุล เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลเชิงเดี่ยวซึ่งได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในน้ำผลไม้ น้ำตาลในนม จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดเกิดภาวะเป็นกรดมากเกินไป จนร่างกายขาดภาวะสมดุล

ทำให้เกิดส่วนเกินตามร่างกาย ไขมันที่เกิดจากน้ำตาลส่วนเกิน จะถูกสะสมในตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากเกินไปตับจะส่งออกไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา สะโพก เป็นต้น

ผลต่อสมอง การทานน้ำตาลมากเกินไปจะมีผลต่อสมองทำให้รู้สึกง่วง หงาว หาว นอน อยู่ตลอด

เหล่านี้คือผลเสียของการรับประทานของหวาน หรืออาหารประเภทที่มีน้ำตาลที่มากเกินไป แต่ทุกสิ่งในโลกล้วนต้องมีสมดุล การรับประทานอะไรมากเกินไปนั้นไม่ดี แต่ถ้ารับประทานน้อยเกินไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ทานแป้งและน้ำตาลกันเลย เพราะอย่างไร"น้ำตาล" ก็เป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน และทำให้รู้สึกสดชื่น เมื่อกลัวโรคอ้วนก็ควรลดปริมาณน้ำตาลทานของหวานลดน้อยลง โดยไม่ต้องหลีกเลี่ยงไปเลย เพราะจะทำให้รู้สึกหิวและอยากมากขึ้นอีก!! จนทำให้กินหนักและน้ำหนักเพิ่มกว่าเดิม

การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็มีผลทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์

เรารู้กันดีว่าการกินน้ำตาลมากเกินไป ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพได้หลายโรค อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

ล่าสุด ผลงานวิจัยเรื่องหนึ่งระบุว่า การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็ทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากน้ำตาลที่รับประทานเข้าไป จะถูกย่อยเป็นกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสมอง และส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาท ที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนเราให้เกิดความสมดุล

ดังนั้น การกินน้ำตาลน้อยเกินไป จึงส่งผลให้สารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์เสียความสมดุล คนกินน้ำตาลน้อยๆ จึงกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด ไม่มีความอดทน และโมโหง่าย

องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณน้ำตาลที่ควรกินไว้ว่า ไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่เราควรได้รับใน 1 วัน หรือไม่ควรเกิน 4 – 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1,600 – 2,400 กิโลแคลรอลี โดยการกินน้ำตาลที่เหมาะสม ควรเป็นน้ำตาลอ้อย หรือน้ำตาลที่ได้จากแป้งไม่ขัดสี เพื่อร่างกายที่แข็งแรง อ่อนหวานอย่างพอดี

น้ำตาล ทานอย่างไรให้พอดี ไม่มีโทษ! (Sugar)ประโยชน์ของน้ำตาล

- และเมื่อน้ำตาลมีโทษก็ต้องมีประโยชน์บ้าง คือสามารถรักษาโรคท้องร่วงได้ โดยแพทย์ จะนำ"น้ำตาล" ผสมกับเกลือใหรับประทานชื่อฟื้นฟูร่างกายให้ตื่นตัวขึ้น นอกจากนี้ยังนำไปใช้กับแผลใหญ่ที่ติดเชื้อได้ผลมาก จะช่วยระงับการลุกลามของเชื้อและทำให้แผลหายไวขึ้น

- นอกจากจะช่วยให้อาหารมีรสหวานแล้ว น้ำตาลทรายยังใช้ในการถนอมอาหารและหมักอาหารได้อีกด้วย

- ในสิ่งมีชีวิต น้ำตาลทำหน้าที่คือ เป็นสารให้พลังงานที่สำคัญที่สุดแก่เซลล์ และเป็นสารตั้งต้นสำหรับการสังเคราะห์ชีวโมเลกุลต่างๆในเซลล์ ซึ่งเมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป อาหารจะถูกสกัดย่อยด้วยกรดในกระเพาะก่อนจะถูกย่อย และดูดซึมไปเลี้ยงร่างกายโดยลำไส้เล็ก ตรงนี้เองที่น้ำตาลซูโครสในอาหาร จะถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคส และฟรุคโทส ซึ่งจะไหลไปตามหลอดเล็กๆ ผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดไปตามหลอดเส้นเลือดใหญ่ โดยละลายอยู่ในเลือดและไหลกลับมาทางน้ำเหลืองเพื่อเข้าสู่ตับ โดยน้ำตาลบางส่วนจะถูกสะสมไว้ในตับ ในรูปของแป้งสีขาวที่ไม่สามารถละลายได้ แต่เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แป้งส่วนนี้จะสามารถละลายกลายเป็นน้ำตาล เพื่อส่งเข้ากระแสเลือด และหากมีน้ำตาลเหลืออยู่อีก ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเหล่านั้นเป็นไขมัน และเก็บไว้ในชั้นไขมันต่อไป

เมื่อน้ำตาล มีทั้งคุณและโทษ การจะรับประทานน้ำตาลก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป อย่าตามใจปาก เท่านี้น้ำตาลที่ว่ามีภัยมหันต์ ก็กลายเป็นมีคุณอนันต์ได้ รู้แบบนี้แล้วก็ควรคิดให้ดีก่อนทานในมื้อต่อไป ว่าควรจะบริโภคความหวานแต่พอดี ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป สุขภาพจะดีได้ล้วนอยู่ที่ความพอดีจริงๆ
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...