Friday, April 27, 2012

แว่นลดความอ้วน “Meta Cookie”

แว่นลดความอ้วน “Meta Cookie”

พูดถึงญี่ปุ่นแล้วคนชาตินี้เค้าไม่ค่อยทำอะไรธรรมดาๆ เลยจริงๆ ล่าสุดผุดไอเท็มชิ้นใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว เป็น “แว่นตาลดความอ้วน” ซึ่งว่ากันว่า จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้สาวๆ ที่อยากหุ่นสวยหุ่นดี ได้ควบคุมอาหารกันได้สะดวกโยธินยิ่งขึ้น หน้าตาของเจ้าแว่นตานี้มันเป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร มาดูคลิปข้างล่างกันเลยดีกว่าค่ะ


แว่นตานี้ใช้หลักการว่า เมื่อผู้ใช้สวมแว่นตาขณะกำลังทานอาหาร แว่นตาจะส่งผลให้ผู้ใช้มองเห็นอาหารมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ส่งผลให้เกิดความรู้สึกหลอกๆ ว่าเราทานไปเยอะแล้ว และรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ซึ่งจากการทดลองใช้จริงก็พบว่าแว่นตานี้ทำให้คนทานอาหารลดลงถึง 9.3% (คนทดลองเค้าว่ามาอย่างนั้นน่ะนะ)


และนอกจากลวงตาเรื่องขนาดแล้ว แว่นนี้ยังมีรุ่น 2 คือ จะมีการแทรกกลิ่นเพิ่มเข้าไปด้วย ทำให้การหลอกล่อการรับรู้ระหว่างทานอาหาของเรามีความแยบยล และแยบคายยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ อย่างไรก็ตาม แว่นนี้ยังมีข้อจำกัดที่ว่า สามารถใช้การได้ดีกับวัตถุทรงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยมเท่านั้น แต่วัตถุทรงยาวอย่างกล้วย ไส้กรอก ดูจะไม่ให้ผลที่ดีเท่าไหร่ ซึ่งทีมผู้ประดิษฐ์คิดค้นก็กล่าวว่าจะมุ่งมั่นพัฒนาต่อไป และเจ้าแว่นตัวนี้อาจมีขายในท้องตลาดให้เราลองได้ใช้กันซักวัน


ดูไอเดียแล้วก็เข้าท่าและเข้าใจคิดดีนะคะ แต่จะติดตรงที่ จะมีใครกล้าใส่แว่นนี้เวลาออกไปทานอะไรนอกบ้านมั้ยฮึ (และดุท่ามันจะหนักนะ)


「Meta Cookie」は、クッキーに対し、視覚情報と嗅覚情報を重畳することで、クッキーの「風味」を変化させ、食べる人が受け取る味の認識を変化させるシステムである。カメラ­によって認識可能なマーカのついたクッキーに、HMDを使ってさまざまなクッキーの写真を重畳表示し、さらに嗅覚ディスプレイによって匂いを付加する。この見た目と匂いの­変化によって、体験者が食べたときに感じる味が変化する。体験者はインタラクションによってARクッキーに重畳する匂い・写真を選ぶことができ、好みの味のクッキーを食べ­ることができる。


"Meta Cookie" is the world's first pseudo-gustation system which induces cross-modal effect to let humans perceive various tastes without changing chemical substances by changing only visual and olfactory information. Our system evokes cross-modal effect among vision, olfaction and gustation and let users feel that they are eating a flavored cookie although they are just eating a plain cookie with an AR marker.

Gustatory information has rarely been studied in relation to computers, even though there are lots of studies on visual, auditory, haptic and olfactory information. This scarcity of research on gustatory information has several reasons. One reason is that gustatory sensation is based on chemical signals, whose functions have not been fully understood yet. Another reason is that perception of gustatory sensation is affected by other factors, such as vision, olfaction, thermal sensation, and memories. Thus, complexity of cognition mechanism for gustatory sensation as described above makes it difficult to build up a gustatory display. Our research utilizes the complexity of cognition mechanism for gustatory sensation, in order to create a pseudo-gustatory display, which induces cross-modal effect by presenting texture and scent.

"Meta Cookie" combines augmented reality technology and olfactory display technology. Merging of these two technologies creates a revolutionary interactive gustatory display. With this breakthrough combination of technology, we realize a novel gustatory display system. Pseudo-gustatory display is a novel concept to deal with gustatory information in the area of interactive techniques and open up a new horizon for computer human interaction.

credit: http://www.goodlywomen.com/

Wednesday, April 18, 2012

หวานเป็นลม ขมเป็นยา (Bitter pills may have sweet effect)

หวานเป็นลม ขมเป็นยา บรรพบุรุษไทยเปรียบเปรยไว้ว่า แม้รสชาติหวานจะน่าติดใจแต่ก็อาจจะนำมาซึ่งโทษและภัยสารพัด ในขณะที่รสชาติขม เช่น บอระเพ็ด แม้รสชาติจะไม่น่าพิสมัยในเบื้องต้น แต่ก็นำมาซึ่งประโยชน์ต่อสุขภาพ เปรียบเสมือนคำชมหวานหูมักไร้สาระทำให้ลืมตัวขาดสติ แต่คำติซึ่งมักจะไม่ค่อยจะไพเราะเสนาะหูในเบื้องต้น มักเป็นประโยชน์ทำให้ได้คิด

การรับประทานหวาน อีกนัยหนึ่งคือรับประทานน้ำตาลมากเกินไป ก่อให้เกิดโรคที่เนื่องมาจากความอ้วนทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กลุ่มอาการผิดปกติทางเมตาบอลิซึ่ม โรคข้อ มะเร็งบางชนิด และอื่นๆ อีกมากมาย


หวานแค่ไหน...ถึงจะพอเหมาะ
หวานเกินไปใช่จะดี หวานน้อยไปก็พานจะทำให้คนบางคนรับประทานอาหารไม่อร่อยลิ้นเอาเสียเลย ถ้าเช่นนั้น อะไรเล่าคือทางสายกลาง?สมาคมโรคหัวใจของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของความหวานหรือน้ำตาล (แสดงว่ากินหวานมากเกินไป...ส่งผลต่อหัวใจได้เช่นกัน) และได้แนะนำไว้ว่า สำหรับคุณผู้หญิงควรจำกัดการบริโภคน้ำตาลให้ไม่เกินวันละ 25 กรัม (หรือประมาณ 6 ช้อนชา) ในขณะที่คุณผู้ชายรับประทานได้มากกว่านิดหน่อยคือไม่เกิน 37.5 กรัมต่อวัน (หรือประมาณ 9 ช้อนชา)


เรื่องจริง....ในชีวิตประจำวัน
อ่านดูแล้วอาจจะรู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมให้รับประทานน้ำตาลได้เยอะขนาดนั้นในวันหนึ่งๆ จริงๆ แล้วคนอเมริกันส่วนใหญ่รับประทานเกิน (คนไทย หมอหาสถิติไม่เจอ แต่ถ้าดำรงชีวิตแบบประเทศทางตะวันตก หรือรับประทานขนม แม้จะเป็นขนมไทยเป็นประจำ ก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไร) แค่น้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีน้ำตาลอยู่ประมาณ 30 กรัม หรือ 7 ช้อนชา ซึ่งก็เกินไปสำหรับปริมาณน้ำตาลที่แนะนำให้คุณผู้หญิงรับประทานในแต่ละวัน


มีไหม...น้ำตาลดีๆ
น้ำตาลที่มากับผลิตผลตามธรรมชาติ เช่น น้ำตาลฟรุกโตสที่มากับผลไม้ หรือน้ำตาล แล็กโทสที่มากับผลิตภัณฑ์นม พวกนี้เป็นแหล่งน้ำตาลธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร ผู้ที่รับประทานก็จะได้ประโยชน์จากผลิตผลตามธรรมชาตินั้นนอกเหนือไปจากตัวน้ำตาลเอง ซึ่งโดยปกติ ธรรมชาติก็จะจัดสรรมาอย่างพอเหมาะ แต่น้ำตาลที่เติมลงไปเพิ่มเติมนี่สิ เป็นตัวปัญหาที่มีแต่โทษต่อร่างกาย โดยมิได้มีประโยชน์เพิ่มเติมแต่อย่างใด


ลองดูวิธีง่ายๆ...ให้หวานลดลง
สำหรับตัวหมอเอง...เป็นคนติดหวาน จะให้หยุดความหวานเสียเลยก็ไม่ง่ายนัก เลยใช้วิธีเดินสายกลางค่อยๆ ปรับตัวเองให้ชินกับความหวานน้อยลงไปเรื่อยๆ เช่น ค่อยๆ ปรับเติมน้ำตาลในกาแฟ 2 ช้อน เป็น 1 ช้อนครึ่ง และปัจจุบันเหลือไม่ถึงช้อนชา ตั้งใจจะให้เหลือ 1/2 ช้อนชา รวมทั้งรับประทานขนม เป็นคำ ไม่ใช่เป็นถ้วยหรือเป็นชิ้นใหญ่ เติมน้ำตาลในอาหารต่างๆ ลดลง และใช้ความหวานจากธรรมชาติปรุงแทน เช่น ผลไม้ที่มีรสหวาน และลดการปรุงเพิ่มเติมบนโต๊ะ เช่นเวลารับประทานก๋วยเตี๋ยว ลดการดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวาน เรียกว่านานๆ ถึงจะดื่มสักครั้ง


น้ำตาลเทียม...ทางเลือกหรือ...ทางไม่ควรเลือก
ถึงแม้ว่ายังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าน้ำตาลเทียม ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แต่ทางการแพทย์เองก็มิได้สนับสนุนให้มีการใช้น้ำตาลเทียมเป็นกิจวัตรโดยไม่จำเป็น สำหรับความเห็นส่วนตัวของหมอ อะไรที่เป็นธรรมชาติน่าจะดีกว่าสารสังเคราะห์ ลองปรับความหวานลดลงแบบธรรมชาติ โดยลด/เลิกการรับประทานหรือเติมน้ำตาล และหันมาใช้ความหวานจากผัก ผลไม้แทน ที่สำคัญบริโภคในปริมาณพอเหมาะจะดีกว่า หวานจะได้ไม่เป็นลมไงค่ะ


credit: นิตยสาร woman plus


Wednesday, April 4, 2012

เมนูที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่าง (Do not eat these menu with an empty stomach)

เมนูที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่าง

ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไป
ทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้
ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง


นมและนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสาร
ประเภทแป้งอยู่


เหล้า
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้


น้ำตาลหรืออาหารหวาน
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะ
ท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต


ชาที่แก่เกินไป
ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง
และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ


ลูกพลับ
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร


กล้วย
เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง


กระเทียม
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง


ผัก
การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ


นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี


credit: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1391071
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...