Friday, July 27, 2012

คำว่า บรันช์ (Brunch) มีที่มาอย่างไร?

เคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับการปรุงอาหาร และงานครัวต่างๆ
(Cooking Tips and Kitchen Tricks)

เรื่อง ของการทำอาหาร งานบ้าน งานครัว จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าเรารู้เคล็ดลับในการจัดการค่ะ สำหรับเครื่องใช้ภายในบ้านนั้นมีมากมายหลายชนิด ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญต่อการใช้ชิวิต ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของสมาชิกภายในครอบครัว โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวที่ต้องสัมผัสกับปากโดยตรงยิ่งต้องดูแลมาก เป็นพิเศษ Food for Health Guide จึงรวบรวม ความรู้ เคล็ด(ไม่)ลับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการปรุงอาหาร ทำอาหาร และงานครัวต่างๆ เพื่อที่คุณจะสามารถนำไปลองทำกันได้ง่ายๆ มาแนะนำค่ะ

......................................................................................................................................................

คำว่า บรันช์ (Brunch) มีที่มาอย่างไร ?

บรันช์ (Brunch) เป็นอาหารรวบระหว่างมื้อเช้า (breakfast) และ มื้อกลางวัน (lunch) คำก็เป็นคำรวบระหว่างสองคำ คือ Breakfast กับ Lunch (Brunch is a meal eaten between or instead of breakfast and lunch. The word is a portmanteau of breakfast and lunch.)

แรกเริ่มเดิมที คำว่า "Brunch" มาจากอเมริกา คือ การจัดอาหารเช้า และอาหารกลางวัน รวมกัน จะเสริ์ฟระหว่าง 11.00 น. จนถึง 14.00 น. (คือ 11 โมงเช้า ถึงบ่าย 2 โมง) หรือให้เข้าใจกันง่ายๆ Brunch ก็คือ อาหารที่ควบเอา "อาหารมื้อเช้า" และ "อาหารมื้อกลางวัน" มารวมเป็นมื้อเดียวกันนั่นเอง



โดยปกติคนทั่วไปจะรับประทานมื้อเช้า ไม่ว่าหนักหรือเบาประมาณ 8:00 น. แล้วใช้เวลารับประทานประมาณ 15-30 นาที ซึ่งเป็นเวลาปกติของคนทั่วๆ ไป ซึ่งอาจช้าจนเริ่มประมาณ 9:00 น. แล้วก็จบภายใน 15-30 นาที  มื้อนี้เรียกว่ามื้อเช้า หรือ Breakfast

มื้อกลางวัน (Lunch) จะเริ่มเวลาประมาณ 12:00 น. แล้วจบที่เวลาประมาณ 12:30 น. แต่หากนั่งรับประทานกันไป แล้วคุยเรื่องงานหรืออื่นๆ ไป ก็อาจใช้เวลาสัก 1 ชั่วโมง

แต่ Brunch นั้นเป็นมื้อพิเศษ ตรงที่เริ่มรับประทานช้ากว่าปกติ กินมากกว่าปกติ พร้อมรวบเป็นอาหารกลางวันไปด้วยในตัว เวลากินช้า อาจจะเป็นเพราะตื่นสาย อาหารมื้อแบบนี้ไม่ใช่เป็นปกติ และไม่แนะนำสำหรับคนทั่วไป แต่มันมักจะเกิดจากช่วงเวลาพิเศษ เช่นช่วงวันหลังเฉลิมฉลองอยู่กันดึกพิเศษ แล้วทำให้ตื่นสาย แล้วไหนๆ ก็สายแล้ว ก็เลยสายต่ออีกหน่อย เลยกินมื้ออาหารแบบรวบเลยระหว่างมือเช้ากับมื้อกลางวัน

Brunch มักจะกินกันเวลาสักกึ่งกลางระหว่างมื้อเช้าและมื้อกลางวัน คือราวๆ 9:30-10:30 น. และเป็นวาระพิเศษ ร่วมกินกันหลายๆ คน จะที่บ้านหรือที่ร้านอาหาร แต่มีให้รับประทานกันมากเป็นพิเศษ หรือหากเป็นที่ร้าน ก็มักจะสั่งจานโตสักหน่อย มักจะรับประทานกันในบรรยากาศแบบผ่อนคลายสักเล็กน้อย ส่วนเครื่องดื่ม จะเป็น ชา กาแฟ น้ำผลไม้ เป็นต้น การรับประทานอาหารมื้อ Brunch ตามร้านอาหารของคนตะวันตก มักจะต้องมีกาแฟสด ซึ่งหากกาแฟไม่อร่อย อาหารก็พลอยไม่อร่อยไปด้วย

โดยมากตามโรงงแรม และร้านอาหารจะจัด Brunch เฉพาะวันอาทิตย์หรือวันหยุดเทศกาล อาหารจะมีหลากหลาย ทั้งอาหารมื้อเช้า และอาหารมื้อกลางวันรวมกัน และการจัดจะจัดแบบบุฟเฟต์ ให้แขกเลือกตักกินเองตามใจชอบ นอกจากอาหารบางอย่าง เช่น อาหารจานร้อน จะมีเชฟคอยปรุงให้แขก หรืออาหารประเภทเนื้อก้อนใหญ่ เชฟจะเป็นผู้ตัดให้แขกตามต้องการ ในการบริการจะมีเชฟและผู้บริการคอยดูแลตลอดเวลา ตามหอพักนักศึกษาของอเมริกาจะจัด Brunch ในวันอาทิตย์ ซึ่งบางคนอาจตื่นสาย นั่งกินได้ถึงบ่าย 2 - 3 โมง เลยทีเดียว กินแล้วบางคนไม่กินมื้อเย็นก็มี


ดูเคล็ดลับทั้งหมด | SEE ALL TIPS & TRICKS »


info credit: http://pracob.blogspot.com/

Wednesday, July 25, 2012

เทคนิคการต้มกะทิ ให้สีไม่คล้ำ และไม่แตกมัน

เคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับการปรุงอาหาร และงานครัวต่างๆ
(Cooking Tips and Kitchen Tricks)

เรื่อง ของการทำอาหาร งานบ้าน งานครัว จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าเรารู้เคล็ดลับในการจัดการค่ะ สำหรับเครื่องใช้ภายในบ้านนั้นมีมากมายหลายชนิด ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญต่อการใช้ชิวิต ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของสมาชิกภายในครอบครัว โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวที่ต้องสัมผัสกับปากโดยตรงยิ่งต้องดูแลมาก เป็นพิเศษ Food for Health Guide จึงรวบรวม ความรู้ เคล็ด(ไม่)ลับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการปรุงอาหาร ทำอาหาร และงานครัวต่างๆ เพื่อที่คุณจะสามารถนำไปลองทำกันได้ง่ายๆ มาแนะนำค่ะ

......................................................................................................................................................


เรื่องของกะทิ 
(Coconut milk Tricks and Tips)

เคล็ดลับ ความรู้ ในการต้มกะทิ สำหรับผู้ที่ชอบทำแกงกะทิ ขนมหวานที่ใส่กระทิ และผู้ชอบความหวานมันของกะทิ

เทคนิคในการต้มกะทิให้สีไม่คล้ำ

ต้ม กะทิด้วยภาชนะ "เหล็ก" หรือ "สแตนเลส" จะทำให้กะทิมีสีคล้ำ ภาชนะที่จะนำมาต้มกะทิ ควรเลือกภาชนะทองเหลือง หรือหม้อเคลือบ หรือถ้าไม่มีจริงๆ สามารถใช้ภาชนะอลูมิเนียมได้ แต่ห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยเหล็กหรือสแตนเลสมาใช้ในการต้มกะทิเด็ดขาด เพราะจะทำให้กะทิของเรามีสีคล้ำ ไม่น่ากินนะจ๊ะ


เทคนิคในการต้มกะทิไม่ให้แตกมัน

1. ในการต้มน้ำกะทิไม่ให้แตกมัน ในการทำขนมด้วยน้ำกะทิ เราไม่นิยมให้กะทิแตกมัน ฉะนั้นเวลาต้มกะทิควรใช้ไฟปานกลางถึงอ่อน และต้องหมั่นคนอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้กะทิแตกมันค่ะ

2. ถ้าต้องการให้กะทิมีสีขาวน่ารับประทาน ควรต้มกะทิแค่ร้อนจัดแต่ไม่ต้องถึงกับเดือด เราก็จะได้กะทิสีขาวน่ารับประทาน แต่ถ้ากลัวกะทิบูดเร็วล่ะก็ ก็ให้ต้มพอใกล้เดือดแล้วปิดไฟทันที

3. กรณีพวกขนมหวานทั้งหลายที่ต้องเอาผลไม้ไปต้มเช่น กล้วยบวดชี ฟักทองบวด ต้องเอาผลไม้ไปต้มน้ำเปล่าให้สุกก่อนนะคะ เพราะการต้มผลไม้ให้สุกในกะทิจะทำให้กะทิแตกมัน ไม่น่ารับประทาน

4. การใส่แป้งข้าวเจ้าลงไปเล็กน้อยในกะทิ จะทำให้กะทิไม่แตกมัน แต่ขอย้ำนะ อย่าใส่เกิน 1 ช้อนชา เพระมันจะข้นมากอาจทำให้แป้งและกะทิเกาะกันเป็นก้อนได้คะ

6. แป้งที่ดีที่สุดในการใส่กะทิ คือ "แป้งข้าวเจ้า" ถ้าใช้ แป้งมัน หรือ แป้งข้าวโพด ในปริมาณที่เท่ากัน น้ำกะทิจะออกข้น และเหนียวใส ซึ่งต่างจากแป้งข้าวเจ้าที่จะข้นแต่ไม่เหนียว

มาดูผลพิสูจน์ว่า กะทิที่ต้มด้วยหม้อเหล็กหรือสแตนเลส จะสีคล้ำจริงหรือไม่ 
(คลิปจากรายการครัวอินดี้ ช่วง Indy Institute)



เคล็ดลับแถมท้าย...ใคร ที่อยากจะเชื่อม หรือต้มสุกผลไม้ เมื่อเชื่อมสุกแล้ว ควรแช่น้ำเย็นทันที เนื้อผลไม้จะได้ไม่เละ เพราะความร้อนที่ตกค้างในผลไม้ เมื่อเชื่อมเสร็จ ก็ทำน้ำกะทิราดหน้าของหวาน ตามสูตรที่ให้ในเว็บ Food for Health Guide (FHG) นะคะ


ดูเคล็ดลับทั้งหมด | SEE ALL TIPS & TRICKS »

Friday, July 20, 2012

ผักที่มีธาตุเหล็กสูง (Vegetables High in Iron)

ธาตุเหล็กในผัก หรือผักที่มีธาตุเหล็ก

คำว่า "เหล็ก" ในที่นี้ หมายถึง แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เพราะธาตุเหล็กนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกบิล สารสีแดงในเม็ดเลือดแดง และในกล้ามเนื้อ ฮีโมโกบิลนี้จะเป็นตัวนำเอาออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงยังเซลส์ต่างๆ

ในวันหนึ่งๆ ร่างกายต้องการธาตุเหล็กเพียงเล็กน้อยก็จริง แต่เมื่อใดที่ร่างกาย ต้องเสียเลือดไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ร่างกายก็ต้องการธาตุเหล็กมากยิ่งขึ้น ผู้หญิงจะต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีประจำเดือน ต้องคลอดลูก ถ้าขาดธาตุเหล็กมากๆ จะเป็นโรคโลหิตจาง เมื่อเป็นโรคนี้นานๆ ม้ามจะโต หัวใจจะใหญ่ เล็บเปราะบาง การขาดธาตุเหล็กเป็นได้ทุกวัยไม่มีข้อยกเว้น

ธาตุเหล็กนี้ได้จากอาหารเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการเลือกกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก สูงจึงจำเป็น อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงคือตับ เลือดหมู เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และพืชผักต่างๆ โดยเฉพาะผักที่มีสีเขียวเข้ม ในผักหลายชนิดมีธาตุเหล็กสูง ราคาก็ ถูกกว่าเนื้อสัตว์ แถมยังได้วิตามินและเส้นใยอีกด้วย ซ้ำยังเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินตับหรือเนื้อสัตว์ หรือผู้ที่เป็นโรคคอเลสเตอรอลสูง นอกจากกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงแล้ว เรายังต้องกินอาหารที่มีวิตามินซี หรืออาหารที่มีสารโปรตีนควบคู่ไปด้วยร่างกาย จึงจะดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ได้ดี เพราะธาตุเหล็กที่มีในอาหารนี้ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ

ผักบางชนิดมีธาตุเหล็กสูงกว่าในเนื้อสัตว์เสียอีก เทียบจากอาหารทุกอย่างใน น้ำหนัก 100 กรัม ว่ามีธาตุเหล็กอยู่เท่าไรบ้าง...

- ซึ่งในเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมูมี 2.1 มิลลิกรัม ตับมี 4.4 มิลลิกรัม ตับไก่มี 9.7 มิลลิกรัม

- ในผักก็เช่น มะเขือพวงมีถึง 43 มิลลิกรัม ผักโขมมี 21.4 มิลลิกรัม ใบชะพลู 9.8 มิลลิกรัม ดอกแค 5.3 มิลลิกรัม ใบตำลึงมี 4.6 มิลลิกรัม เป็นต้น จะเห็นว่าผักมีธาตุเหล็กสูงกว่าเนื้อสัตว์มาก

- สำหรับในเครื่องปรุงรสของไทย เช่น กะปิ นั้น ก็มีธาตุเหล็กสูงเช่นกัน โดยในปริมาณ 100 กรัม กะปิมีธาตุเหล็ก 38.1 มิลลิกรัม พริกแห้ง 17.9 มิลลิกรัม กระเทียม 1.5 มิลลิกรัม เป็นต้น

โดยเฉลี่ยแล้วในวันหนึ่งเราต้องการธาตุเหล็กเพียง 15 มิลลิกรัม มาปรุงอาหาร รสอรอ่ยจากผักที่มีธาตุเหล็กสูงกันวันละมื้อสองมื้อ โดยกินผลไม้รสเปรี้ยวตามไปด้วย หลังอาหาร คุณก็จะได้ธาตุเหล็กเพียงพอกับความต้องการอย่างแน่นอน

** ผักเม็ก มีชื่อพื้นเมืองที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ดังนี้ ผักเสม็ด, ผักเม็ก (นครราชสีมา,ภาคอีสาน); ไคร้เม็ด (เชียงใหม่); เม็ก (ปราจีนบุรี); เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช) ;เสม็ด (สกลนคร, สตูล);เสม็ด เขา, เสม็ดแดง (ตราด); เสม็ดชุน (ภาคกลาง); ยีมือแล (มลายู ภาคใต้) **

ความสำคัญของธาตุเหล็กต่อสตรีมีครรภ์

ธาตุเหล็ก สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือด ซึ่งจะเป็นตัวนำออกซิเจนไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทั้งจากเลือดแม่ไปเลือดลูกด้วย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลหน้าที่สำคัญของธาตุเหล็กว่า เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างฮีโมโกลบินเม็ดเลือดแดง นำเลือดดำไปฟอกที่ปอด กลายเป็นเม็ดเลือดแดงที่ร่างกายนำไปใช้ได้ สารสำคัญที่ฟอกเลือดดำเป็นเลือดแดง ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ หากร่างกายขาดธาตุเหล็กกระบวนการฟอกเลือดดำเป็นเลือดแดงจะไม่เกิดขึ้นได้ หัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมได้ดีต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ไปด้วยค่ะ

อาการของคนที่ขาดธาตุเหล็ก

แม้ร่างกายจะต้องการธาตุเหล็กเพียง 1-2 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับคนทั่วไป แต่หากขาดธาตุเหล็กร่างกายจะอ่อนเพลีย เด็กจะมีพัฒนาการช้าลง ไม่เจริญเติบโต เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยทำให้สติปัญญาด้อยประสิทธิภาพการเรียนรู้ลดลง ในวัยเด็กเป็นวัยที่ต้องการธาตุเหล็กมาก ผู้ใหญ่และสตรีมีครรภ์ที่ขาดธาตุเหล็กจะอ่อนเพลีย ผิวพรรณซีด เมื่อเปิดเปลือกตาจะเป็นสีขาวไม่มีเลือดไปเลี้ยง ในทางตรงข้ามผู้ที่มีธาตุเหล็กจะมีเลือดฝาดแข็งแรงสมบูรณ์
......................................................................................................................................................

ข้อควรระวัง:
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงนั้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่เป็น "โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย" เนื่องจากผู้ป่วยมีธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าคนปกติ  ทำให้เป็นผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ ตามไปด้วย

** อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม "อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย" »

......................................................................................................................................................


ตัวอย่าง จำนวนธาตุเหล็กที่มีอยู่ในผักต่างๆ เป็นมิลลิกรับ ต่อจำนวนน้ำหนัก 100 กรัม มีดังนี้

- มะเขือพวง 43 มิลลิกรัม
- ผักกูด 36.3 มิลลิกรัม
- ถั่วฟักยาว 26 มิลลิกรัม
- ผักแว่น 25.2 มิลลิกรัม
- เห็ดฟาง 22.2 มิลลิกรัม
- ผักโขม 21.4 มิลลิกรัม
- ใบแมงลัก 17.2 มิลลิกรัม
- พริกหวาน 17.2 มิลลิกรัม
- ใบแมงลัก 17.2 มิลลิกรัม
- ผิวมะกรูด 16.7 มิลลิกรัม
- ใบกะเพราแดง 15.1 มิลลิกรัม
- ผักเม็ก 11.6 มิลลิกรัม
- ยอดอ่อนมะกอก 9.9 มิลลิกรัม
- ใบชะพลู 9.8 มิลลิกรัม
- ยอดอ่อนกระถิน 9.2 มิลลิกรัม
- มะเขือพวง 7.1 มิลลิกรัม
- ใบย่านาง 7.0 มิลลิกรัม
- ยอดขี้เหล็ก 5.8 มิลลิกรัม
- ผักกะเฉด 5.3 มิลลิกรัม
- ดอกแค 5.3 มิลลิกรัม
- ยอดตำลึง 4.6 มิลลิกรัม
- ใบตำลึงมี 4.6 มิลลิกรัม

Sunday, July 15, 2012

เคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับการปรุงอาหาร และงานครัวต่างๆ (Cooking Tips & Kitchen Tricks)

เคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับการปรุงอาหาร และงานครัวต่างๆ
(Cooking Tips and Kitchen Tricks)


เรื่องของการทำอาหาร งานบ้าน งานครัว จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าเรารู้เคล็ดลับในการจัดการค่ะ สำหรับเครื่องใช้ภายในบ้านนั้นมีมากมายหลายชนิด ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญต่อการใช้ชิวิต ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของสมาชิกภายในครอบครัว โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวที่ต้องสัมผัสกับปากโดยตรงยิ่งต้องดูแลมากเป็นพิเศษ Food for Health Guide จึงรวบรวม ความรู้ เคล็ด(ไม่)ลับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการปรุงอาหาร ทำอาหาร และงานครัวต่างๆ เพื่อที่คุณจะสามารถนำไปลองทำกันได้ง่ายๆ มาแนะนำค่ะ

......................................................................................................................................................


วิธีทำ “น้ำดีเกลือ” แบบง่ายๆ

สำหรับคนที่ชอบทานเต้าหู้ แล้วต้องการหัดทำเต้าหู้แบบแข็งทานเอง มีส่วนประกอบอย่างหนึ่งที่หายากคือ "ดีเกลือ" ซึ่งเป็นตัวที่จะช่วยให้น้ำถั่วเหลืองของเราตกตะกอนเป็นเต้าหู้นั่นเอง... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


“ดีเกลือ” คืออะไร?

“ดีเกลือ” คือสารประกอบ เกลือซัลเฟต ของโซเดียมและแมกนีเซียม แบ่งออกเป็นสองชนิด ซึ่งทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติและลักษณะแต่งต่างกัน คือ... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


“เจี๊ยะกอ” คืออะไร?

“เจี๊ยะกอ” ((石膏) เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว) หรือบางคนก็เรียก เอี๊ยะกอ คือ แคลเซียมซัลเฟต (Calcium Sulfate) หรือ หินฝุ่น หรือ ผงยิปซัม... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


คำว่า Brunch มีที่มาอย่างไร ?

บรันช์ (Brunch) เป็นอาหารรวบระหว่างมื้อเช้า (breakfast) และ มื้อกลางวัน (lunch) คำก็เป็นคำรวบระหว่างสองคำ คือ Breakfast กับ Lunch (Brunch is a meal eaten between...(อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


เทคนิคการต้มกะทิ ให้สีไม่คล้ำ และไม่แตกมัน

เรื่องของกะทิ(Coconut milk Tricks and Tips)เคล็ดลับ ความรู้ ในการต้มกะทิ สำหรับผู้ที่ชอบทำแกงกะทิ ขนมหวานที่ใส่กระทิ และผู้ชอบความหวานมันของกะทิ... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


วิธีเลือกซื้อ และเทคนิคการใช้เขียง

วิธีเลือกซื้อเขียง - ปัจจุบันเรานิยมใช้เขียงสองประเภท คือ เขียงไม้ และเขียงพลาสติก เรามีเทคนิคและวิธีเลือกซื้อเขียง ดังนี้ค่ะ 1. เขียงไม้ ควร เลือกซื้อเขียงที่ทำจากไม้มะขาม เพราะไม้มะขามแข็ง เหนียว และทน โดยให้เลือก... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................

ไอเดียการเลือกวัสดุที่ใช้ทำ "หม้อ" และ "กระทะ" ให้ถูกกับชนิดของเตา

1. ภาชนะเหล็ก ใช้กับเตาไฟฟ้า เตาแก็ส หรือเตาที่ใช้โลหะนำความร้อน 2. ภาชนะเคลือบ ใช้กับเตาที่เป็นแผ่นแก้วเซรามิกหรือหลอดฮาโลเจน 3. ภาชนะอลูมิเนียมหรือเหล็ก ใช้กับเตาแก็ส เตาไฟฟ้า 4. ภาชนะ... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


วิธีแก้กระทะที่เป็นสนิม

วิธีแก้กระทะที่เป็นสนิม - คุณแม่บ้านท่านไหนกำลังหงุดหงิดใจกับกระทะที่เป็นสนิมแล้วขัดยาก ต้องอ่านเรื่องนี้นะคะ เพราะมีวิธีง่าย ๆ ในการแก้ไขค่ะ วิีธีที่ 1 : เพียงแค่ใช้ทรายผสมขี้เถ้าประมาณ 1 - 2 กำมือ ใส่ลงไปในกระทะที่เป็นสนิม... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................

ขจัดรอยสกปรกคราบสีดำที่ติดกับภาชนะอลูมิเนียม

ภาชนะอลูมิเนียม เมื่อใช้ไปนานๆจะเกิดรอยสกปรกคราบสีดำ ยิ่งถ้าเปื้อนน้ำมันด้วยแล้วจะขัดยากมาก ควรใช้น้ำส้มสายชูผสมกับขี้เถ้า ให้ใส่แป้งสาลีเช็ดให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่คราบสกปรกจะหลุดออกแล้วจึงขัด... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


กระทะใหม่ๆ ทำอย่างไร เวลาทอดจึงจะไม่ติดกระทะ

กระทะใบใหม่ ๆ ที่เราซื้อมา เวลาทำกับข้าวไม่ว่าจะทอดหรือผัด มักจะติดกระทะ เรามีวิธีแก้ไขค่ะ วิธีที่ 1 : เมื่อซื้อกระทะใบใหม่มา ก่อนที่จะมาทำกับข้าวไม่ว่าจะทอดหรือผัด ขอให้หุงข้าวชนิดเช็ดน้ำสักหม้อในวันนั้น แล้วนำน้ำข้าวที่ได้เทลงกระทะใบใหม่ตั้งไฟกลางๆ... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................


เทคนิกการเลือก "หม้อ" หรือ "กระทะ"

ควรเลือก "หม้อ" หรือ "กระทะ" เหล็กชนิดหนาที่สุด แบบที่มีหูจับ 2 ด้าน เพราะหยิบจับสะดวกกว่า และหูจับควรเป็นไม้เพราะจะได้ไม่นำความร้อน ภาชนะทองแดงเคลือบสแตนเลส แม้จะแพงกว่าภาชนะทองแดงทั่วไป... (อ่านต่อ)
......................................................................................................................................................

Friday, July 13, 2012

อาหารเช้าเมนูไข่ : ไข่เบเนดิกต์ (Eggs Benedict)


ไข่เบเนดิกต์ หรือ เอ้กเบเนดิกต์ 

(Eggs Benedict)

เป็นอาหารเช้าเมนูไข่ ที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ ประกอบด้วยไข่ลวก ขนมปัง แฮม และ ซอสฮอลแลนเดส

และยังสามารถจะรับประทานเป็น Brunch* หรือ อาหารว่างก็ได้เช่นกัน วิธีการทำโดยการนำแฮม หรือ โบโลญญ่า (Bologna) กับ ไข่ดาวน้ำ (Poached Egg) มาวางบนขนมปังครึ่งซีก เช่น English muffin หรือ Bagel แล้วราดด้วย ซอสฮอลแลนเดส (Hollandaise sauce)


หมายเหตุ

* คำว่า Brunch มีที่มาอย่างไร ?

แรกเริ่มเดิมที คำว่า "Brunch" มาจากอเมริกา คือ การจัดอาหารเช้าและอาหารกลางวันรวมกัน จะเสริ์ฟระหว่าง 11.00 น. จนถึง 14.00 น. (คือ 11 โมงเช้า ถึงบ่าย 2 โมง)


โดย มากตามโรงงแรมและร้านอาหารจะจัด Brunch เฉพาะวันอาทิตย์หรือวันหยุดเทศกาล อาหารจะมีหลากหลาย ทั้งอาหารมื้อเช้า และอาหารมื้อกลางวันรวมกัน และการจัดจะจัดแบบบุฟเฟต์ ให้แขกเลือกตักกินเองตามใจชอบ นอกจากอาหารบางอย่าง เช่น อาหารจานร้อน จะมีเชฟคอยปรุงให้แขก หรืออาหารประเภทเนื้อก้อนใหญ่ เชฟจะเป็นผู้ตัดให้แขกตามต้องการ ในการบริการจะมีเชฟและผู้บริการคอยดูแลตลอดเวลา ตามหอพักนักศึกษาของอเมริกาจะจัด Brunch ในวันอาทิตย์ ซึ่งบางคนอาจตื่นสาย นั่งกินได้ถึงบ่าย 2 - 3 โมง เลยทีเดียว กินแล้วบางคนไม่กินมื้อเย็นก็มี


แหล่งที่มา : นิตยสารครัว ปีที่ 15 ฉบับที่ 174 เดือน ธันวาคม 2551 หน้า135

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อาหารเช้าเมนูไข่ : ไข่เบเนดิกต์ (Eggs Benedict) สูตรที่ 1

ส่วนผสม

- ขนมปังอิงลิช มัฟฟิน 1 ชิ้น
- ไข่ไก่สดใหม่ 1 ฟอง
- ปลาแซลมอนรมควัน
- ผักคอส
- เนยจืดละลาย
- น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
- ไธม์ (เครื่องเทศให้ความหอม)


ส่วนผสมซอสราด ซอสฮอลแลนเดส (Hollandaise sauce)

- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
- มายองเนส ½ ถ้วย
- มัสตาร์ด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาวเล็กน้อย
- พริกไทย พร้อมเตรียมเครื่องทำสลัด ได้แก่ ผักร็อคเกต หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศเชอร์รี่ น้ำบาซามิก และน้ำมันมะกอก

วิธีทำ

หลังจากได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้ว เริ่มลงมือหั่นครึ่งขนมปังอิงลิช มัฟฟิน จากนั้นตอกไข่ใส่ถ้วย ต้นน้ำให้เดือดอ่อนๆ ใส่น้ำส้มสายชูคนให้เข้ากัน เป็นเทคนิคให้ไข่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นคนเร็วๆ ให้น้ำวน เทไข่ใส่ลงไปทิ้งไว้ 2-3 นาที เมื่อสุกตักใส่ในน้ำเย็นพักไว้

ต่อมานำส่วนผสมของซอสมาผสมกันในหม้อ ตั้งไฟอ่อนๆ คนจนเนื้อหนืดข้นพักไว้ ทาขนมปังด้านที่หั่นด้วยเนยจืดละลาย จัดวางบนจานตามด้วยผักคอส แซลมอนรมควัน ตักไข่ขึ้นมาซับน้ำออกด้วยกระดาทิชชูแล้ววางทับก่อนตักซอสราด โรยใบไธม์และพริกไทย จัดวางข้างจานด้วยหน่อไม้ฝรั่ง และเพิ่มไฟเบอร์ให้กับร่างกายด้วยการทำสลัดเป็นเครื่องเคียง


อาหารเช้าเมนูไข่ : ไข่เบเนดิกต์ (Eggs Benedict) สูตรที่ 2
(สำหรับ 4 ที่)
ส่วนผสม

- เกลือ 1 ช้อนชา
- น้ำส้มสายชูไวท์ขาว 2 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่สด 8 ฟอง
- ขนมปังหั่นเป็นแผ่นๆ 8 แผ่น
- แฮมสไลซ 300 กรัม
- ผักร๊อกเกต 1 ถ้วยตวง

ส่วนผสมซอสราด ซอสฮอลแลนเดส (Hollandaise sauce)

- น้ำส้มสายชูไวท์ขาว 1 ช้อนโต๊ะ
- ไวท์ขาว ¼ ถ้วยตวง
- เมล็ดพริกไทยดำ ½ ช้อนชา
- ไข่แดง 3 ฟอง
- มะนาวเหลือง 1 เสี้ยว
- เนยสดชนิดเค็ม 150 กรัม

วิธีทำ ซอสฮอลแลนเดซ

1. ผสมน้ำส้มสายชูไวท์ขาว ไวท์ขาว และเมล็ดพริกไทยดำ ลงในหม้อ ใช้ไฟอ่อน ต้มจนส่วนผสมเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง นำออกจากเตา แล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้

2. นำเนยสดชนิดเค็มใส่หม้อ ตั้งไฟจนละลาย และเห็นเป็นเนยละลายใสๆ กับตะกอนเนยแยกชั้นกัน ตักแต่เนยละลายใสๆเก็บไว้ใช้ ทิ้งส่วนที่เป็นตะกอนไป

3. ตีไข่แดง และ น้ำส้มสายชูไวท์ขาว เข้าด้วยกัน แล้วนำไปตั้งบนหม้อใส่น้ำพอประมาณ แต่ระวังอย่าให้น้ำแตะก้นชาม ใช้ไฟอ่อนๆ แล้วใช้ที่ตีไข่คนไปเรื่อยๆจนข้นเป็นครีม และ สีอ่อนลง แต่ระวังอย่าให้ไข่จับเป็นก้นหรือสุก นำออกจากเตา แล้วค่อยๆเติมเนยละลายที่เตรียมไว้ที่ละน้อย ใช้ที่ตีไข่ คนไปเรื่อยๆ ทำเช่นนี้จนเนยละลายหมด แล้วบีบมะนาวเติมลงไปเล็กน้อย

เตรียมไข่

1. ต้มน้ำในหม้อจนเดือด เติมเกลือ และน้ำส้มสายชูไวท์ขาว ตอกไข่ใส่ชามแล้วเทใส่หม้อทีละลูก ใช้ทัพพีคนน้ำไปรอบๆแต่อย่าให้โดนไข่ ต้มนานประมาณ 3 นาที ดูจากไข่ขาวสุกแต่ไข่แดงยังไม่สุก หลังจากนั้น ช้อนไข่ขึ้น แล้วสะเด็ดน้ำบนจานรองด้วยกระดาษทิชชู

2. ปิ้งขนมปังในที่ปิ้งขนมปัง หรือ ปิ้งบนกระทะ โรยด้วยน้ำมันมะกอกบนขนมปัง

จัดเสริฟโดยการ เรียงขนมปังปิ้ง วางทับด้วยแฮมสไลซ ไข่ลวก ซอสฮอลแลนเดซ และโรยด้วยผักร๊อกเกต


......................................................................................................................................................

Eggs Benedict
(Serving for 4 persons)

Ingredient
1 tsp of salt
2 tbsp of white vinegar
8 eggs
8 sliced bread
300 g Ham (Sliced)
1 cup of rocket

Hollandaise sauce
1 tbs of white vinegar
¼ cup of white wine
½ tsp of cayenne pepper
3 egg yolks
1 slice of lemon
140 g of salted butter

Method


How to make Hollandaise sauce:
1. In a saucepan, add white vinegar, white wine, and cayenne pepper. Slow cook until the mixture decrease to the half amount. Remove from the heat. Strain through the fine-mesh.

2. Melt salted butter in a saucepan until it separate into 2 layers. Use only the clear butter oil on top.

3. Whisk egg yolks and white vinegar together with double boiled technique. Whisk until the sauce is creamy and light in color. Remove from the heat. Add the butter oil bit by bit. Add lemon juice in to the sauce. Mix well.

How to poach an egg:

1. Use a saucepan. Add water and wait until water is boiling. Add white vinegar into the water.

2. Break the egg in a bowl and carefully place it in the saucepan one by one.

3. Wait until egg is cooked nicely approximately 3 minutes

4. Once the eggs have been cooked they should be drained on kitchen towel to remove any excess water before serving.

5. Toast the bread in the toaster or skillet. Drizzle our toast with some olive oil over the bread.

To serve:
Serving by laying toast at the bottom, layer with sliced ham, poached egg, and finally spoon the warmed Hollandaise sauce over the egg. Top with rocket. Serve immediately.



Hope you enjoy the recipe..Bon appetit!




ที่มาสูตรอาหาร
http://www.foodcookrecipe.com/
http://cookingforhope.blogspot.com/2010/06/recipe-9-egg-benedict.html

ภาพจาก internet

Friday, July 6, 2012

ความรู้เรื่อง เครื่องครัวแสตนเลส (Stainless steel cookware)

ความรู้เรื่อง เครื่องครัวแสตนเลส (Stainless steel cookware)  

ข้อดี และ ข้อเสีย ของเครื่องครัวแสตนเลส

สำหรับภาชนะเครื่องใช้ เครื่องครัวในบ้านที่เราใช้นั้น วัสดุที่ใช้ทำภาชนะก็มีความสำคัญต่อสุขภาพของสมาชิกภายในบ้านทั้งสิ้น ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องครัวที่เราใช้กันไม่ว่าจะเป็น กระทะ หม้อซุป หม้ออบความดัน มีดแบบต่างๆ ที่ขูดผิวมะนาว ฯลฯ ก็ล้วนต้องเลือกสรรกันเป็นอย่างดี ซึ่งภาชนะเครื่องครัวต่างๆ ที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ทำมาจาก "สแตนเลส สตีล" ทั้งสิ้น

การที่โลหะเกิดออกไซด์ทำให้เกิดการกัดกร่อนของเนื้อโลหะ ในกรณีที่วัสดุนั้นเป็นเหล็ก จะทำให้เกิดสิ่งที่เราเรียกกันว่า สนิมเหล็ก(Stain) มีลักษณะเป็นเนื้อพรุน ทำให้เหมาะที่จะกักเก็บไอน้ำ ออกซิเจน และสารเคมีอื่น ทั้งจากอากาศและอาหาร สอดแทรกเข้าไปทำปฏิกิริยากับเนื้อเหล็กที่อยู่ใต้ชั้นออกไซด์ต่อได้ ทำให้เนื้อเหล็กที่อยู่ใต้ชั้นออกไซด์สามารถถูกกัดกร่อน

ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาโลหะผสม(Alloy,อัลลอย) ที่เรารู้จักกันดี คือ สแตนเลส สตีล(Stainless Steel) มีความหมายตรงตัว คือ เหล็กกล้าไร้สนิม เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำ(น้อยกว่า 2%)ของน้ำหนัก มีส่วนผสมของโครเมียม อย่างน้อย 10.5% กำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.1903 และมีการเติม นิเกิล,โมบิดินัม,ไททาเนียม,ไนโอเนียม หรือโลหะอื่นแตกต่างกันไปตามชนิด ของคุณสมบัติเชิงกล และการใช้ลงในเหล็กกล้าธรรมดา ทำให้เหล็กกล้ามีความต้านทานการเกิดสนิมได้และการนำความร้อนได้ดีขึ้น


ซึ่งการที่มีโครเมียมผสมอยู่ในโลหะจะทำให้เกิดคุณสมบัติของฟิล์มออกไซต์บนพื้นผิวเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นฟิล์มปกป้อง หรือพลาสซิฟเลเยอร์(Passive Layer) ที่เหมือนเกราะป้องกันการกัดกร่อนให้กับสแตนเลสสตีล

ฟิล์มปกป้องนี้จะมีขนาดบางมาก(สำหรับแผ่นสเตนเลสบางขนาด 1 มม. ฟิล์มหรือพาสซีฟ เลเยอร์นี้ จะมีความบางเทียบเท่ากับวางกระดาษ 1 แผ่น บนตึกสูง 20 ชั้น) และมองตาเปล่าไม่เห็นฟิล์มนี้จะเกาะติดแน่น และทำหน้าที่ปกป้องสเตนเลส สตีล จากการกัดกร่อน หากนำไปผลิตแปรรูปหรือใช้งานในสภาพเหมาะสม เมื่อเกิดมีการขีดข่วน ฟิล์มปกป้องนี้จะสร้างขึ้นใหม่ได้เองตลอดเวลา

แต่โดย ส่วนใหญ่สแตนเลสสตีล ที่นำมาทำเครื่องครัวที่ใช้กันจะประกอบด้วย
- โครเมียม 0% นิเกิล (Nickel) 0% เรียกว่า 18/0
- โครเมียม 8% นิเกิล (Nickel) 18% เรียกว่า 18/8
- โครเมียม 10% นิเกิล 18% เรียกว่า 18/10 เป็นสแตนเลสสตีล จึงที่นิยมใช้ในการทำเครื่องครัวคุณภาพดี

โดยสังเกตุยิ่งค่าของนิกเกิลยิ่งสูง จะเป็นแสตนเลสสตีลที่มีคุณภาพสูง จะยิ่งทนต่อการกัดกร่อน การเกิดสนิมและสวยงามแวววาวมากขึ้น

เครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลสสตีล มีข้อดีและข้อเสีย หลายอย่างเช่น

ข้อดีของการใช้สแตนเลสสตีล
- ความต้านทานการกัดกร่อนสูง
- ไม่มีปฏิกริยาต่อกรดและด่าง
- ไม่กระเทาะหรือแตกหักเสียหาย ง่าย ทนทานต่อการนำมาใช้งาน

ข้อเสียของการใช้สแตนเลสสตีล
- มีค่าการนำความร้อนต่ำ
- ไม่เก็บกักความร้อนเอาไว้นาน
- ราคาสูง

จึงมักจะใช้ทำเครื่องครัวโดยผสมกับทองแดง(Copper) หรืออะลูมิเนียม(Aluminum) ซึ่งเป็นโลหะที่มีค่าการนำความร้อนสูง เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานข้อดีของวัสดุต่างๆ เพื่อนำมาใช้ทำเครื่องครัวที่เหมาะสมกับผู้ที่รักการทำอาหารไม่ว่าจะเป็นกระทะ, กระทะกลม, กระทะแบน,หม้อซุป, หม้อซอส, ถาดอบ, ที่ขูดชีส, ที่ขูดผิวส้ม

Tuesday, July 3, 2012

เมี่ยงบัวหลวง (Lotus Leaf-wrapped)


เมี่ยงคำ จัดเป็นอาหารที่คนภาคกลางนิยมรับประทานเป็นอาหารว่างในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้นชะพลูผลิใบแตกยอดอ่อนมากที่สุดและจัดเป็นสำรับว่างที่รสชาติดีทีเดียว อันที่จริงแล้วเมี่ยงคำนั้นสามารถรับประทานเป็นอาหารว่างได้ตลอดทั้งปี แล้วแต่ว่าจะรับประทานเพื่อความอร่อย หรือจะรับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพ เพื่อเป็นการปรับสมดุลธาตุในร่างกายนั่นเอง

ยามนึกอยากจะทานเมี่ยงคำ ก็จะนึกถึงใบทองหลาง หรือ ใบชะพลู ห่อเครื่อง พอดีคำ ให้รสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม และเผ็ด เรียกได้ว่าเป็นของว่างที่อร่อยครบทุกรส แถมยังได้สุขภาพไปในตัว แต่วันนี้เรามีเมี่ยงคำสูตรดั้งเดิมแต่เพิ่มทางเลือกใหม่ในการรับประทาน โดยใช้กลีบบัวหลวงห่อเครื่องแทนค่ะ ที่บอกว่าเป็นทางเลือกใหม่ในการรับประทานเมี่ยงนั้น เนื่องมาจากว่า ใบทองหลางและใบชะพลูมีกรดยูริกสูง จึงทำให้คนที่ปวดเข่า ปวดกระดูก หรือเป็นเก๊า  เมื่อบริโภคหรือรับประทานเข้าไปแล้วจะไม่ดีต่อสุขภาพอาจจะทำให้โรคกำเริบได้ ฉะนั้นกลีบดอกบัวหลวงจึงเป็นอาหารทางเลือกใหม่ในการรับประทานเมี่ยงเพื่อสุขภาพโดยแท้

ดอกบัว ไม่เพียงทานได้เท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้ไข้ มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ฯลฯ และเมื่อนำมาร่วมวงเมี่ยงคำแล้ว ก็ทำให้ของว่างจานนี้หน้าตาสวยหวานน่ารับประทานมาก ๆ เลย ยิ่งหากใครที่ไม่ปลื้มรสชาติของใบชะพลูด้วยแล้ว ขอชวนมาทำ "เมี่ยงคำกลีบบัวหลวง" รับประทานกันดีกว่า ว่าแล้วก็มาลงมือทำกันเลยค่ะ

ส่วนผสมน้ำเมี่ยงบัวหลวง (Lotus Leaf-wrapped) ด้างล่างนี้ เป็นสูตรของ ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี อาจารย์ผู้แนะนำการรับประทานเมี่ยงบัวหลวง และสาธิตผ่านรายการต่าง ๆ ทางสถานีโทรทัศน์ ซึ่งสูตรของอาจารย์ จะแตกต่างจาก ส่วนผสมของคุณบ่งบ๊งที่เคยลงเรื่องราวไว้ที่บล็อกเล็กน้อย แตกต่างตรงส่วนน้ำตาล แต่ขอยืนยันว่าน้ำเมี่ยงคำโบราณทั้งสองสูตรนี้อร่อยไม่แพ้กันค่ะ

เมี่ยงบัวหลวง อ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม คลิกที่นี่


ส่วนผสมน้ำเมี่ยงคำ
  • กะปิอย่างดีเผา 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม) - ห่อใบตองเผาให้สุก
  • ข่าแก่คั่ว 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม) - ข่าซอยบาง ๆ เป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วคั่วให้กลิ่นหอม ให้น้ำมันหอมละเหยออกมา
  • น้ำตาลปีบ 2 ถ้วย (480 กรัม)
  • น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
  • มะพร้าวขูดคั่วให้เหลืองโขลกละเอียด  ½ ถ้วย (300 กรัม)
  • กุ้งแห้งคั่วโขลกละเอียด ½ ถ้วย (100 กรัม)
  • ถั่วลิสงคั่วบดละเอียด ½ ถ้วย (100 กรัม)

วิธีทำน้ำเมี่ยงคำ
  1. นำกะปิ ข่า และกุ้งแห้ง โขลกรวมกันให้ละเอียด เมื่อโขลกเสร็จเรียบร้อย เอาใส่หม้อ
  2. ใส่น้ำตาลปีบ น้ำมะขามเปียก และน้ำปลา ลงไปในหม้อที่ใส่เครื่องโขลกในข้อ 1 จากนั้นตั้งไฟเคี่ยวให้เหนียวข้น โดยใช้ไฟอ่อน ห้ามคน ถ้าคนน้ำเมี่ยงจะมีลักษณะตกทรายทันที
  3. เมื่อเคี่ยวน้ำตาลได้ที่ ซึ่งจะมีลักษณะเหนียวข้นแล้ว เอาลงจากเตาทิ้งไว้ให้เย็นตัวสักหน่อย
  4. เมื่อน้ำตาลเย็นตัวแล้วเอาเครื่องที่เหลือทั้งหมดใส่ลงไป ได้แก่ มะพร้าว กุ้งแห้ง และถั่วลิสง


หมายเหตุ - วิธีเคี่ยวน้ำตาลปีบแบบไม่เปลืองแก๊สควรทำดังนี้ เริ่มจากเคี่ยวน้ำตาลให้เดือดพล่านเกือบล้นปากหม้อ แล้วหรี่ไฟให้น้ำตาลลดระดับลง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้น้ำตาลเชื่อมแบบเข้มข้น ค่อนข้างเหนียว ทำตามรูปจากซ้ายไปขวา เดือด - ลด - เดือด - ลด ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ระวังจะล้นออกมานอกหม้อ

เครื่องเคียง
  • มะพร้าวซอยคั่ว 1 ถ้วย (300 กรัม)
  • กุ้งแห้งตัวเล็ก (ชนิดจืด) 1 ถ้วย (300 กรัม)
  • ถั่วลิสงคั่ว 1 ถ้วย (300 กรัม)
  • ขิงหั่นเต๋าเล็ก ๆ ½ ถ้วย (50 กรัม)
  • หอมแดงหั่นเต๋าเล็ก ๆ ½ ถ้วย (50 กรัม)
  • มะนาวหั่นเต๋าเล็ก ๆ (หั่นทั้งเปลือก) ½ ถ้วย (60 กรัม)
  • พริกขี้หนูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (กรณีคนชอบเผ็ด) 25 เม็ด (30 กรัม)
  • และที่ขาดไม่ได้เลยคือ "กลับบัวหลวง"

วิธีล้างกลีบบัว

เด็ดกลีบบัวออกเป็นใบ ๆ เอากลีบแก่ ๆ ทิ้งไป นำน้ำสะอาดใส่กาละมัง ใส่เกลือป่นลงไปนิดหน่อย นำกลีบบัวลงไปล้างทีละกลีบ ๆ แล้วพักให้สะเด็ดน้ำ




ขอบคุณ สูตรและรูปภาพจาก:
http://www.bloggang.com/
http://www.youtube.com/


Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...